คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 399/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ไม้ยางเป็นไม้หวงห้ามไม่ว่าจะขึ้นอยู่ในที่ใดในราชอาณาจักรการตัดฟันลงจะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือได้รับสัมปทาน จำเลยตัดฟันไม้ยางซึ่งแม้จะขึ้นอยู่ในที่ดินของจำเลยเองก็มีความผิด การครอบครองไม้ที่ตัดฟันลงดังกล่าวโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายย่อมเป็นความผิดด้วย ไม้ดังกล่าวจึงเป็นไม้ที่ต้องริบ
ความผิดฐานตัดฟันลงซึ่งไม้ยางอันเป็นไม้หวงห้ามแล้วครอบครองไม้นั้น เป็นการกระทำสองกรรมต่างกันเป็นความผิดสองกระทงซึ่งมีกำหนดโทษเท่ากัน คือ จำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามบทมาตราต่าง ๆ ทั้งสองกระทง แล้วพิพากษาจำคุก 6 เดือนและปรับ 2,000 บาท โดยมิได้กล่าวว่าลงโทษตามมาตราใด นั้น เป็นการลงโทษในอัตราโทษขั้นต่ำของความผิดกระทงเดียวโดยมิได้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 2 ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษเรียงกระทงความผิดให้ถูกต้องได้แต่จะแก้โทษให้หนักขึ้นไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน 2515 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2515 เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยบังอาจตัดฟันไม้ยางอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ซึ่งขึ้นอยู่ในที่ดินของจำเลย 1 ต้นปริมาตรเนื้อไม้ 7.84 ลูกบาศก์เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และจำเลยบังอาจมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้ยาง 1 ต้นดังกล่าวซึ่งยังไม่ได้แปรรูป โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายประทับไว้ เจ้าพนักงานได้ไม้ดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 7, 11, 69, 73, 74พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 6, 16, 17พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 5, 12, 17และริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา 7, 11, 69, 73, 74 พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 6, 16, 17 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 5, 12, 17 จำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาท รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 3 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกรอไว้ 2 ปี ของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้องและศาลสั่งริบของกลางไม่ชอบ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงยุติว่า จำเลยตัดไม้ยางที่ขึ้นอยู่ในที่ดินของจำเลย และได้ครอบครองไม้นั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ววินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 7 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 4 นั้น ไม้ยางเป็นไม้หวงห้ามไม่ว่าจะขึ้นอยู่ในที่ใดในราชอาณาจักร การตัดฟันลงจะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือได้รับสัมปทานตามมาตรา 11 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 6 หากฝ่าฝืนก็มีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 73 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4)พ.ศ. 2503 มาตรา 17 ส่วนการครอบครองไม้ดังกล่าวโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย ก็มีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 69 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503มาตรา 12 การตัดฟันไม้และการครอบครองไม้ของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง ไม้ของกลางเป็นไม้ที่ได้มาจากการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ จึงต้องริบ

อนึ่ง การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นสองกรรมต่างกัน เป็นสองกระทงความผิดซึ่งโทษของทั้งสองกระทงความผิดนี้กำหนดไว้เท่ากันคือ จำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท ศาลล่างทั้งสองมิได้เรียงกระทงลงโทษ ลงโทษมาในอัตราโทษขั้นต่ำของฐานความผิดกระทงเดียว ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2

พิพากษาแก้ เป็นให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 17 กระทงหนึ่ง และมาตรา 69 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 12อีกกระทงหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2 แต่เนื่องจากโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลฎีกาจะพิพากษาลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษมาแล้วไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212, 225 โทษของจำเลยจึงคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share