คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 399/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ซื้อกับผู้ขายทำสัญญาจะซื้อจะขาย ที่ดินพิพาทกันเป็นเงิน 14,000 บาท ผู้ขายได้รับชำระค่าที่ดินไปเกือบหมดแล้ว ผู้ซื้อก้ได้เข้าครอบครองปลูกเรือนลงในที่ดินนั้นเรียบร้อยแล้ว ยังแต่ผู้ขายจะไปทำการแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาทให้เป็นของผู้ซื้อเท่านั้น ในระหว่างจะแบ่งแยกโฉนด ผู้ซื้อกลัวว่าผู้ขายจะโกงบิดพลิ้วไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทให้ภายหลัง จึงขอร้องให้ผู้ขายไปทำสัญญาจำนองเป็นประกันเงินราคาที่ดิน ที่ซื้อขายกันซึ่งได้ชำระไปแล้วนั้นไปอีก โดยผู้ซื้อจะไม่คิดเอาดอกเบี้ย แก่ ผู้ขายในการจำนองนี้ เว้นแต่ผู้ขายบิดพลิ้ว โกงไม่ยอมโอนขายที่ดินให้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำกันไว้แล้ว จึงจะเอาสัญญาจำนองมาฟ้องบังคับเรียกราคาที่ดินที่ได้ชำระไปแล้วคืนจากผู้ขาย ดังนี้ สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญา ส่วนสัญญาจำนองไม่ใช่นิติกรรมอำพราง แต่เป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่คู่กรณีสมัครใจตกลงทำขึ้นเพื่อเป็นการค้ำประกันเงินที่ผู้ซื้อได้ชำระราคาที่ดิน ไปแล้วตามสัญญาจะซื้อขายสัญญาจำนอง จึงไม่เป็นโมฆะ และตราบใดที่ผู้ขายยังมิได้ผิดสัญญาจะซื้อขาย โดยผู้ขายมิได้บิดพลิ้วไม่ยอมโอนขายที่ดินให้ผู้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อก็จะนำสัญญาจำนองมาฟ้องบังคับผู้ขายยังไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำนอง จำเลยให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งว่าสัญญาจำนองเป็นโมฆะศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไถ่ถอนการจำนองและยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาจำนองเป็นโมฆะ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่ามาพันเอกหลวงชาญ ฯ และนางบุญล้อมภริยากับจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกัน ๑๔๐ ตารางวา เป็นเงิน ๑๔,๐๐๐ บาทจำเลยได้รับชำระค่าที่ดินไปเกือบหมดแล้ว พันเอกหลวงชาญฯ กับนางบุญล้อมผู้ซื้อได้ เข้าครอบครองปลูกเรือนลงในที่ดินนั้นเรียบร้อยแล้ว ยังแต่จำเลยจะไปทำการแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาทให้เป็นของผู้ซื้อเท่านั้นระหว่างที่ยังกำลังจะแบ่งแยกโฉนดอยู่นี้เอง พันเอกหลวงชาญฯ เกิดกลัวว่าจำเลยจะโกงบิดพลิ้วไม่ยอมโอนที่ดินให้ในภายหลัง จึงขอร้องให้จำเลยไปทำสัญญาจำนองเป็นประกันเงินราคาที่ดินที่ซื้อขายกัน ซึ่งได้ชำระไปแล้วนั้นให้อีก โดยพันเอกหลวงชาญฯ จะไม่คิดเอาดอกเบี้ย แก่จำเลยในการจำนองนี้ เว้นแต่จำเลยบิดพลิ้วโกงไม่ยอมโอนขายที่ดินให้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ทำกันไว้แล้ว จึงจะเอาสัญญาจำนองนั้นมาฟ้องบังคับเรียกราคาที่ดินที่ได้ชำระไปแล้วคืนจากจำเลย ในระหว่างที่กำลังจะทำการแบ่งแยกโฉนดให้เป็นชื่อของผู้ซื้อ พันเอกหลวงชาญฯ ได้ตายลง โจทก์ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายและผู้จัดการมรดกจึงนำสัญญาจำนองนี้มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญาส่วนสัญญาจำนองนี้ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง โดยเป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่คู่กรณีสมัครใจตกลงทำกันขึ้นเพื่อเป็นการค้ำประกันเงินที่ผู้ซื้อได้ชำระราคาที่ดินไปแล้วตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินอีกชั้นหนึ่ง โดยต่างประสงค์จะให้สัญญาจำนองนี้บังคับกันได้ในเมื่อฝ่ายผู้ขายผิดสัญญากลับใจไม่โอนขายที่ดินให้ผู้ซื้อ ดังนั้น สัญญาจำนองนี้จึงไม่เป็นโมฆะ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยให้การต่อสู้และนำสืบว่า ยินดีปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทอันเป็นเจตนาที่แท้จริงดอยู่เสมอตลอดมาจนบัดนี้ ทั้งฝ่ายผู้ซื้อก็ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ในขณะนี้แล้ว เมื่อกรณีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดิน กล่าวคือ จำเลยได้บิดพลิ้วไม่ยอมโอนขายที่ดินให้ผู้ซื้อแล้ว โจทก์ก็นำเอาสัญญาจำนองมาฟ้องบังคับจำเลยขณะนี้ยังไม่ได้ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในข้อที่พิพากษาว่าสัญญาจำนองเป็นโมฆะนั้นเสียโดยพิพากษาให้ยกฟ้องแย้งจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะนำสัญญาจำนองนี้มาฟ้องใหม่ ในเมื่อปรากฏว่าจำเลยได้ทำผิดสัญญาไม่ยอมโอยขายที่ดินให้ผู้ซื้อตามสัญญาจะซื้อขาย

Share