แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยแพ้คดีในศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ถึงแม้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้น ก็ต้องถือว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมย่อมถูกยกเลิกไปด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ค่าสินจ้างจำนวน 1,705,623.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,521,825.20 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 68,224.94 ดอลลาร์สหรัฐพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 60,873.01 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่18 กรกฎาคม 2538 อันเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 40,000 บาท จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนจำนวน 83,095 บาทตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยไม่ได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดเสียก่อนตามที่ตกลงทำสัญญากันไว้ เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 10 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำหน่ายคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ต่อมาวันที่ 5 มิถุนายน 2543 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนที่จำเลยวางต่อศาลชั้นต้นพร้อมกับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลฎีกาพิพากษายืน โจทก์ไม่มีสิทธิรับเงินดังกล่าว แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งยกคำแถลง
ต่อมาวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นอีก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาพิพากษายืน ลบล้างผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่มีค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนและค่าทนายความที่โจทก์จะขอรับอีก ให้ยกคำแถลง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนที่จำเลยวางไว้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับบทบัญญัติห้ามมาตราต่อไปนี้ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีแต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคู่ความฝ่ายใดจะชนะคดีเต็มตามข้อหาหรือแต่บางส่วน ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่ชนะคดีนั้นเสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงหรือให้คู่ความแต่ละฝ่ายเสียค่าฤชาธรรมเนียมส่วนของตนหรือตามส่วนแห่งค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง ซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายได้เสียไปก็ได้…” คดีนี้แม้จำเลยจะแพ้คดีในศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ก็ตาม แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวและศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ถึงแม้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแต่อย่างใด ก็ต้องถือว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมย่อมถูกยกเลิกไปด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำแถลงของจำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ