แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภารจำยอมติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า10ปีทางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1401ประกอบมาตรา1382จำเลยที่1ร่วมกับจำเลยที่2กั้นรั้วสังกะสีในทางพิพาทอันเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์จึงต้องรวมรับผิดกับจำเลยที่2ด้วยแม้ฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายด้วยถ้อยคำว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยความสงบและด้วยเจตนาให้เป็นภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลากว่า10ปีแต่ก็ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่60457และ70344และที่ดินโฉนดเลขที่60458ของจำเลยที่1ซึ่งโอนขายให้แก่จำเลยที่2เดิมเป็นของล. ก่อนที่ล. จะจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่60458ให้จำเลยที่1ล. ได้แบ่งแยกที่ดินในนามเดิมโดยกันที่ดินส่วนหนึ่งกว้าง1เมตรยาว12เมตรด้านทิศตะวันตก(ทางพิพาท)ให้เป็นภาระจำยอมต่อมาจำเลยที่1ซึ่งได้รับโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่60458นำช่่างแผนที่ไปรังวัดที่ดินโฉนดเลขที่60458ด้านทิศตะวันตกรุกล้ำแนวเขตที่ดินที่เป็นทางภารจำยอมดังกล่าวแล้วกั้นรั้วสังกะสีปิดกั้นทางเดินทำให้ที่ดินที่เป็นภารจำยอมนั้นลดและแคลงคงเหลือกว้าง1เมตรยาว12เมตรเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้เช่นเคยปฏิบัติกันมาตามปกติที่เคยใช้เป็นทางภารจำยอมกว้าง2เมตรยาว12เมตรมานานไม่น้อยกว่า20ปีเศษข้อความที่ว่าล. กันทางพิพาทให้เป็นภารจำยอมและโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทอย่างภารจำยอมดังกล่าวเข้าออกสู่ทางสาธารณะตามปกติอย่างภารจำยอมไม่น้อยกว่า20ปีเศษนั้นมีความหมายเช่นเดียวกับข้อความว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นภารจำยอมเกินกว่า10ปีถือได้ว่าฟ้องโจทก์บรรยายข้อความครบถ้วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1401ประกอบมาตรา1382แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 60457และ 70344 ตำบลบางกะปิ (ลาดพร้าวฝั่งเหนือ) อำเภอพญาไท(บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร และตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่ดินดังกล่าว ส่วนนางประวี โอภาศ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่61513 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 60458ที่ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางละมุน แสงชูวงษ์ มารดาจำเลยที่ 1 ก่อนที่นางละมุนจะจดทะเบียนยกที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 1นางละมุนได้แบ่งแยกที่่ดินในนามเดิมและได้กันที่ดินด้านทิศตะวันตกส่วนหนึ่งให้เป็นภารจำยอมกว้าง 1 เมตร ยาว 12 เมตรซึ่งเป็นที่ดินส่วนที่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 61513 ของนางประวีด้านทิศตะวันออกที่แบ่งให้เป็นภารจำยอมกว้าง 1 เมตรยาว 12 เมตร จึงมีทางภารจำยอมกว้าง 2 เมตร ยาว 12 เมตรเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2532 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ได้นำช่างแผนที่่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครออกทำการรังวัดที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 และนำชี้เขตที่ดินด้านทิศตะวันตกรุกล้ำแนวเขตที่ดินที่เป็นภารจำยอมแล้วกั้นรั้วสังกะสีเป็นแนวเขตปิดกั้นทางเดิน ทำให้ที่ดินที่เป็นภารจำยอมมีเนื้อที่น้อยลงและแคบลงเหลือกว้าง 1 เมตรยาว 12 เมตร เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ซอยเพชรบุรี 43 ได้ตามปกติ ซึ่งที่ดินที่เป็นทางภารจำยอมนี้โจทก์และบ้านใกล้เรือนเคียงเคยใช้มานานไม่น้อยกว่า 20 ปี แล้วจึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วถอนสังกะสีที่ปิดกั้นทางภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่60458 กว้าง 1 เมตร ยาว 12 เมตร ตลอดแนวด้านทิศตะวันตกเสีย เพื่อใช้เป็นทางเข้าออกได้เหมือนเดิม โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 จริง และได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1ให้รับผิดร่่วมกับจำเลยที่ 2 นางละมุน แสงชูวงษ์ ไม่เคยยอมให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 ส่วนที่อยู่ด้านทิศตะวันตกกว้าง 1 เมตรยาว 12 เมตร เป็นทางภาระจำยอมแต่อย่างใด เพราะทางดังกล่าวเป็นเส้นทางที่ออกสู่ที่ดินของจำเลยที่ 1 กับผู้มีชื่อ ซึ่งจำเลยที่1 กับผู้มีชื่อมีสิทธิที่จะหวงห้ามไม่ให้ผู้ใดบุกรุกเข้ามาได้ที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 มีเนื้อที่ดิน 2 งาน 68 ตารางวา เมื่อจำเลยที่ 1 ขายให้จำเลยที่ 2 และให้พนักงานที่ดินทำการรังวัดสอบเขตคงมีเนื้อที่คงเดิม และในปัจจุบันนี้ก็มิได้มีรั้วสังกะสีกั้นตามที่โจทก์ฟ้อง ที่โจทก์อ้างว่า นางประวี โอกาศ ได้จดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 61513 ด้านทิศตะวันออกกว้าง 1 เมตร ยาว 12 เมตรตลอดแนวให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 60457 และ 70344 ของโจทก์ เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะก็มีขนาดกว้างพอสมควรแก่ความจำเป็นแล้วการที่โจทก์จะขอให้บังคับในส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 ด้านทิศตะวันตก จึงเป็นการเกินความจำเป็นตามสมควรและยังทำให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 ด้วย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์จะเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่60457 และ 70344 หรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่รับรอง หากโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวจริง โจทก์ก็ไม่มีสิทธิขอใช้ทางในที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 ของจำเลยที่ 2 เพราะที่ดินโฉนดเลขที่60457 และ 70344 มีภารจำยอมที่ใช้เป็นทางเข้าออกอยู่แล้วโจทก์ไม่มีความจำเป็นที่จะใช้จำเลยที่ 2 เปิดทางภาระจำยอมให้อีกเนื่องจากทำให้เกิดเป็นภาระแก่ที่ดินของจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่เคยใช้ทางด้านทิศตะวันตกของจำเลยที่ 2 ดังที่กล่าวอ้างในคำฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่เคยสร้างรั้วในทางภาระจำยอมที่โจทก์ใช้อยู่ปัจจุบันที่ดินของจำเลยที่ 2มีราคาตารางวาละ 50,000 บาท หากถูกตัดแบ่งไปเป็นภารจำยอมย่อมทำให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 2 อย่างยิ่งแต่การที่จะกันที่ดินด้านทิศตะวันตกของจำเลยที่ 2 กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตรให้เป็นภารจำยอม หากมีค่าทดแทนให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นเงินจำนวน170,000 บาท จำเลยที่ 2 ก็ไม่ขัดข้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วสังกะสีที่ปิดกั้นในทางภารจำยอม เปิดใช้เป็นทางภารจำยอมในที่ดินของจำเลยที่ 2กว้าง 1 เมตร ยาว 12 เมตร ตลอดแนวด้านทิศตะวันตกโฉนดที่ดินเลขที่ 60458 ตำบลบางกะปิ (ลาดพร้าวฝั่งเหนือ) อำเภอพญาไท(บางกะปิ) นครหลวง กรุงเทพธนบุรี เพื่อใช้เป็นทางเข้าออกสู่ซอยเพชรบุรี 43 เชื่อมต่อออกสู่ถนนสาธารณะถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ได้เหมือนเดิม โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้นคำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 เลขที่ดิน 1906 ของจำเลยที่ 2 เอกสารหมาย จ.3เดิมเป็นของนางละมุน แสงชูวงษ์ เนื้อที่ 280 ตารางวา ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2516 นางละมุนได้แบ่งแยกในนามเดิมออกไป 12ตารางวา เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 70344 เลขที่ดิน 1985 เอกสารหมายจ.2 ที่ดินแปลงนี้จึงเหลือเนื้อที่ 268 ตารางวา ตามเอกสารหมาย จ.3ต่อมาวันที่ 15 มกราคม 2529 นางละมุน ได้จดทะเบียนยกให้จำเลยที่ 1หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้กั้นรั้วสังกะสีตามแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันตก และต่อมาวันที่ 28 ธันวาคม 2532 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายให้จำเลยที่ 2 ตามสารบัญจดทะเบียนใบสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมายจ.3 ส่วนที่ดินของโจทก์ 2 แปลง ตามสำเนาโฉนดเลขที่ 60457เลขที่ดิน 1905 เอกสารหมาย จ.1 นั้นเดิมเป็นของนางละมุน ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม 2516 นางละมุนได้จดทะเบียนขายให้โจทก์ซึ่งขณะนั้นยังมีสถานะเป็นเด็กชายและที่ดินของนางละมุนที่แบ่งแยกออกมาเป็นโฉนดเลขที่ 70344 เลขที่ดิน 1985 เนื้อที่ 12 ตารางวาดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.2 นางละมุนได้จดทะเบียนยกให้โจทก์เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2519 ตามสารบัญจดทะเบียนในสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ส่วนที่ดินของนางประวีตามเอกสารหมายจ.4 นั้น เดิมเป็นของนางเป้า มหาสุคนธ์ มีเนื้อที่ 67.2 ตารางวาต่อมาปี 2523 นางเป้า ได้จดทะเบียนยกให้นางประวี ปี 2525นางประวีได้จดทะเบียนที่ดินบางส่วนเป็นภารยทรัพย์ตกอยู่ในบังคับภารจำยอมเป็นทางเดินเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินเลขที่ 1905 และ 1985และในปี 2529 นางประวีได้จดทะเบียนแบ่งแยกออกเป็นโฉนดปลอดภารจำยอมอีก 4 แปลง ส่วนแปลงที่ตกอยู่ในภารจำยอมบางส่วนคงเหลือเนื้อที่10.8 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดเอกสารหมาย จ.4 ที่ดินทั้ง 4 แปลงตามเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.4 ปรากฎอยู่ในแผนที่เอกสารหมาย จ.5 และล.8 สำหรับที่ดินนางประวีจดทะเบียนทางภารจำยอมให้แก่ที่ดินของโจทก์นั้น ปรากฎตามแนวเส้นทางสีฟ้าในเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งตรงกับแนวเส้นทางสีเหลืองในเอกสารหมาย ล.8 ส่วนที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยที่ 2 อยู่ติดขนานกับทางภาระจำยอมดังกล่าว ปรากฎตามแนวเส้นทางสีเหลืองในเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งตรงกับแนวเส้นทางสีแดงในเอกสารหมาย ล.8 มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าที่พิพาทดังกล่าวตกอยู่ในภาระจำยอมหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภารจำยอมติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ทางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบมาตรา1382 และจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กั้นรั้วสังกะสีในทางพิพาทอันเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2ด้วย แม้ฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายด้วยถ้อยคำว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยความสงบและด้วยเจตนาให้เป็นภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปีแต่ก็ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 60457 และ70344 และที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 เดิมเป็นของนางละมุน ก่อนที่นางละมุนจะจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 ให้จำเลยที่ 1 นางละมุน ได้แบ่งแยกที่ดินในนามเดิมโดยกันที่ดินส่วนหนึ่งกว้าง 1 เมตร ยาว 12 เมตรด้านทิศตะวันตก (ทางพิพาท) ให้เป็นภารจำยอมติดกับที่ดินของนางประวี ที่ดินโฉนดเลขที่ 61513 (ของนางเป้า มหาสุคนธ์) ที่แบ่งให้เป็นภารจำยอมกว้าง 1 เมตร ยาว 12 เมตร ซึ่งเมื่อเชื่อมต่อกันแล้วจะเป็นทางภารจำยอมกว้าง 2 เมตร ยาว 12 เมตร ขณะเดียวกันนางละมุนแบ่งขายและยกที่ดินให้โจทก์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2516 และวันที่26 พฤศจิกายน 2519 ต่อมาวันที่ 11 กันยายน 2532 จำเลยที่ 1ซึ่งได้รับโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 นำช่างแผนที่ไปรังวัดที่ดินโฉนดเลขที่ 60458 ด้านทิศตะวันตกรุกล้ำแนวเขตที่ดินที่เป็นทางภารจำยอมดังกล่าวแล้วกั้นรั้วสังกะสีปิดกั้นทางเดิน ทำให้ที่ดินที่เป็นภารจำยอมนั้นลดและแคบลงคงเหลือกว้าง 1 เมตร ยาว 12 เมตรเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้เช่นเคยปฏิบัติกันมาตามปกติที่เคยใช้เป็นทางภารจำยอมกว้าง 2 เมตร ยาว 12เมตร มานานไม่น้อยกว่า 20 ปีเศษ โจทก์บอกกล่าวจำเลยทั้งสองให้รื้อถอนรั้วสังกะสีกั้นเข้ามาในทางภารจำยอม โดยแจ้งว่าเป็นที่ดินที่เป็นภารจำยอมและใช้กันมานานไม่น้อยกว่า 20 ปี แล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วสังกะสีที่ปิดกั้นเข้ามาในทางภารจำยอมซึ่งเห็นได้ว่าข้อความที่ว่านางละมุนกันทางพิพาทให้เป็นภารจำยอมและโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทอย่างภารจำยอมดังกล่าวเข้าออกสู่ทางสาธารณะตามปกติอย่างภารจำยอมไม่น้อยกว่า 20 ปีเศษนั้น มีความหมายเช่นเดียวกับข้อความว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นภารจำยอมเกินกว่า 10 ปี ถือได้ว่าฟ้องโจทก์บรรยายข้อความครบถ้วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบมาตรา1382 แล้ว
พิพากษายืน