แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาจำนองที่ดินระหว่างโจทก์กับธนาคารจำเลยนอกจากจะเพื่อเป็นประกันเงินที่โจทก์กู้จากจำเลยแล้ว ยังเป็นประกันหนี้ทุกประเภทที่โจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยอีกด้วย ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังค้างชำระหนี้ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินแก่จำเลย จึงถือได้ว่าโจทก์ยังมีหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อจำเลยตามสัญญาจำนองรายนี้อยู่ แม้โจทก์จะชำระหนี้ที่โจทก์กู้จากจำเลยครบถ้วนแล้ว สัญญาจำนองก็ยังไม่ระงับสิ้นไป จำเลยมีสิทธิที่จะไม่จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินให้แก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 โจทก์ได้ทำสัญญากู้เงินจากจำเลยสาขาระโนด ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจำนวน 500,000 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยอัตราเฮชแอลอาร์ ซึ่งขณะทำสัญญาเท่ากับอัตราร้อยละ 13.25 ต่อปี ตกลงผ่อนชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยเป็นเดือน เดือนละ 6,500 บาท และชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 15 ปีเพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้โจทก์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3665 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่จำเลยเป็นเงิน 500,000บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี โจทก์ได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องไถ่ถอนจำนองที่ดินให้แก่โจทก์ แต่จำเลยหาได้ไถ่ถอนจำนองให้แก่โจทก์ไม่ โจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามหลายครั้ง แต่จำเลยยังคงเพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3665 ตำบลปากแตระ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3665 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 500,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เป็นประกันหนี้และภาระผูกพันใด ๆ ทุกประเภทของโจทก์ต่อจำเลย ซึ่งเป็นหนี้อยู่ในเวลานี้หรือต่อไปในภายหน้า โจทก์ยังมีภาระหนี้ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินที่ค้างชำระแก่จำเลยเป็นเงิน 806,139.34 บาท จำเลยได้มีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่โจทก์ไม่ชำระหนี้ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำนองยังมีภาระผูกพันอยู่ จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้ไถ่ถอนจำนอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3665 ตำบลปากแตระ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เพื่อปลดจำนองให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 โจทก์ได้ทำสัญญากู้เงินจากจำเลยสาขาระโนด ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจำนวน 500,000 บาทตามสำเนาสัญญาเงินกู้เอกสารหมาย จ.2 โจทก์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3665 ตำบลปากแตระ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยเป็นประกันเป็นเงิน 500,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสำเนาหนังสือสัญญาจำนองและสำเนาหนังสือต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.3 โจทก์ได้ชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวให้จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงิน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าสัญญาจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3665ตำบลปากแตระ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เป็นประกันหนี้ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินด้วยหรือไม่ ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 1 ระบุว่า ผู้จำนองตกลงจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ทุกประเภทที่ผู้จำนองเป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือจะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้าก็ตามในจำนวนเงิน 500,000 บาท เห็นว่า ข้อสัญญาดังกล่าวมีความหมายอย่างแจ้งชัดว่าสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวนอกจากจะเพื่อเป็นประกันเงินที่โจทก์กู้จากจำเลยแล้ว ยังเป็นประกันหนี้ทุกประเภทที่โจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยอีกด้วย ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยังค้างชำระหนี้ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินแก่จำเลยถือได้ว่าโจทก์ยังมีหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อจำเลยตามสัญญาจำนองรายนี้อยู่ แม้โจทก์จะชำระหนี้ที่โจทก์กู้จากจำเลยครบถ้วนแล้ว สัญญาจำนองก็ยังไม่ระงับสิ้นไปจำเลยมีสิทธิที่จะไม่จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินให้แก่โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวไม่ได้ครอบคลุมถึงหนี้ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง