คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3987/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาโจทก์มีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันก่อนเลิกสัญญาได้ต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้จึงได้บอกเลิกสัญญาขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับเป็นรายวันก่อนเลิกสัญญาจำเลยให้การเพียงว่ามิได้ประพฤติผิดสัญญาโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่สุจริตและคดีโจทก์ขาดอายุความโดยคำให้การจำเลยมิได้โต้เถียงว่าค่าปรับเป็นรายวันตามที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบประการใดเท่ากับยอมรับว่าค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาในกรณีโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุจำเลยผิดสัญญาเป็นจำนวนตามที่โจทก์อ้างคดีจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนตามฟ้องได้หรือไม่ทั้งในการชี้สองสถานศาลก็ไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อนี้ไว้และปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงซื้อและจำเลยตกลงขายเครื่องรับส่งวิทยุพร้อมอุปกรณ์ครบชุด จำนวน 3 เครื่อง ราคารวม 151,800 บาทหลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยกระทำการผิดสัญญาโดยส่งมอบเครื่องรับ-ส่งวิทยุ ทั้ง 3 เครื่อง ที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่กำหนด โจทก์จึงไม่รับเครื่องรับ – ส่งวิทยุทั้ง 3 เครื่อง และมีหนังสือแจ้งให้จำเลยดำเนินการแก้ไขปรับปรุงคุณสมบัติของเครื่องรับ – ส่งวิทยุทั้ง3 เครื่องให้ถูกต้อง แต่จำเลยเพิกเฉย ในที่สุดโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ จึงได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 และแจ้งริบหลักประกันไปยังจำเลย ทั้งแจ้งให้จำเลยนำเงินค่าปรับเป็นรายวันคิดเป็นเงินค่าปรับ 183,070.80 บาท มาชำระแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับเป็นเงิน183,070.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สินค้าที่จำเลยส่งมอบให้โจทก์มีคุณสมบัติถูกต้อง โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่สุจริต คดีโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ค่าปรับเป็นรายวันตามจำนวนในคำฟ้องจำเลยไม่ได้ให้การโต้เถียงว่าไม่ต้องชำระค่าปรับเป็นรายวันตามที่โจทก์ฟ้องมาคงให้การโต้เถียงเพียงว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาโดยไม่สุจริต และคดีโจทก์ขาดอายุความ ซึ่งศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นพิพาทว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันตามฟ้องได้หรือไม่ แต่ศาลล่างทั้งสองได้พิพากษาในประเด็นข้อนี้มาจึงเป็นคำพิพากษานอกประเด็น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) เห็นว่าฎีกาประการแรกนี้เป็น คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าปรับรายวันตามฟ้องจากจำเลยเป็นคำพิพากษานอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องโจทก์บรรยายอ้างสิทธิเรียกร้องตามสัญญาในปัญหาข้อนี้มีใจความว่า กรณีจำเลยผิดสัญญาและโจทก์ไม่ใช่สิทธิบอกเลิกสัญญาจำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่โจทก์จนถูกต้องครบถ้วน ในระหว่างที่มีการปรับนั้นถ้าโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้โจทก์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันกับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยส่งมอบเครื่องรับ – ส่งวิทยุทั้ง 3 เครื่องให้โจทก์โดยมีคุณภาพต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญา โจทก์จึงไม่รับเครื่องรับ -ส่งวิทยุทั้ง 3 เครื่อง และแจ้งให้จำเลยแก้ไขปรับปรุงให้มีคุณสมบัติถูกต้องตามสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉย ในที่สุดโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้จึงใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8 บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยและมีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำเงินค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาเครื่องรับ – ส่งวิทยุจำนวน 151,800 บาท คิดเป็นเงินค่าปรับวันละ 303.60 บาท นับแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2530 ซึ่งเป็นวันล่วงเลยกำหนดส่งมอบของตามสัญญาจนถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2532 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเป็นระยะเวลา 603 วัน คิดเป็นเงินค่าปรับ 183,070.80 บาท จำเลยยื่นคำให้การโต้เถียงเพียงว่าจำเลยมิได้ประพฤติผิดสัญญา โดยได้ส่งมอบเครื่องรับ – วิทยุทั้ง 3 เครื่องที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามสัญญาแล้ว โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่สุจริต และคดีโจทก์ขาดอายุความโดยคำให้การจำเลยมิได้โต้เถียงว่าค่าปรับเป็นรายวันตามที่โจทก์เรียกมาในคำฟ้องไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบประการใดบ้างเท่ากับจำเลยยอมรับว่าค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาในกรณีโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุจำเลยผิดสัญญาเป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์อ้าง คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่ครบกำหนดส่งมอบตามสัญญาไปจนถึงวันบอกเลิกสัญญาเป็นจำนวนเงินตามฟ้องได้หรือไม่ ทั้งในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นพิพาทไว้ 3 ข้อ คือ 1.จำเลยส่งมอบเครื่องรับวิทยุถูกต้องตรงตามสัญญาหรือไม่ 2.โจทก์บอกเลิกสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่ 3.คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่โดยมิได้กำหนดประเด็นพิพาทว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันดังฟ้องได้หรือไม่แต่อย่างใด การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นมาวินิจฉัยก็มิได้กล่าวว่าเป็นปัญหาที่รวมอยู่ในประเด็นพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในข้อใด หรือเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)แต่อย่างใด ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียด้วยว่าปัญหาข้อนี้ไม่อาจรวมอยู่ในประเด็นพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในข้อหนึ่งข้อใดมิใช่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าสัญญาที่กำหนดให้โจทก์เรียกค่าปรับเป็นรายวันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจึงไม่มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้ เพราะไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ดังนั้นการวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองในปัญหาข้อนี้จึงเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา คดีจึงต้องฟังตามที่โจทก์ฟ้องมาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับจากจำเลยเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันครบกำหนดส่งมอบตามสัญญาไปจนถึงวันบอกเลิกสัญญาเป็นจำนวนเงิน 183,070.80 บาท
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระค่าปรับเป็นเงิน183,070.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

Share