คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3978/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นตามธรรมดารัฐยอมใช้เพื่อประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์รวมกันได้ ส่วนวิธีการที่จะหวงห้ามนั้นย่อมแตกต่างกันไปตามกาลสมัย เพิ่งมาบัญญัติเป็นกฎหมายขึ้นใช้บังคับเมื่อ พ.ศ. 2478 โดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินพ.ศ. 2478 ซึ่งได้หวงห้ามโดยวิธีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ต่อมาพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา4(6) ดังนั้นเมื่อการสงวนหวงห้ามที่ดินพิพาทเป็นการสงวนหรือหวงห้ามตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 8 ตรี ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 334 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515โดยเป็นกฎหมายที่ออกมาภายหลังจากที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว การหวงห้ามจึงไม่จำต้องดำเนินการโดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามพระราชบัญญัติดังกล่าวอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม 2533 ถึงวันที่14 มิถุนายน 2533 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกันตลอดมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองและทำประโยชน์บนที่ดินที่เลี้ยงสัตว์โคกหินเหล็กไฟสาธารณะในท้องที่ตำบลโนนค่าอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ และเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ร่วมกันรวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ โดยการเข้าไปสร้างคอกวัว ขุดสระน้ำหรือบ่อน้ำ และไถหรือเกรดหน้าดินในที่ดินดังกล่าว โดยจำเลยทั้งสองมิได้มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 ข้อ 11ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365, 33 ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวและริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ข้อ 11 จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 5,000 บาทให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามโจทก์ฟ้อง จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันจ้างรถแทรกเตอร์เข้าไปไถปรับที่ดิน ขุดสระน้ำและสร้างคอกสำหรับเลี้ยงสัตว์ในที่ดินพิพาทที่บ้านโคกหินเหล็กไฟ หมู่ที่ 5ตำบลโนนค่า อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา จำนวนเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 32346 ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินออกให้เมื่อวันที่ 11กรกฎาคม 2529 ตามเอกสารหมาย จ.1 โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้มีสิทธิครอบครองหรือได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายแต่อย่างใด คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า ที่ดินพิพาทแม้จะมีการขึ้นทะเบียนโดยมีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดังกล่าวก็ตามแต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษา จะมีผลให้ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 หรือไม่ เห็นว่าที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นตามธรรมดารัฐยอมใช้เพื่อประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันได้ ส่วนวิธีการที่จะหวงห้ามนั้นย่อมแตกต่างกันไปตามกาลสมัย เพิ่งมาบัญญัติเป็นกฎหมายขึ้นใช้บังคับเมื่อ พ.ศ. 2478 โดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478ซึ่งได้หวงห้ามโดยวิธีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกา และประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ต่อมาพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497มาตรา 4(6) เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า การสงวนหวงห้ามที่ดินพิพาทเป็นการสงวนหรือหวงห้ามตามประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 8 ตรี ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 334 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 โดยเป็นกฎหมายที่ออกมาภายหลังจากที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ดังนั้นการหวงห้ามจึงไม่จำต้องดำเนินการโดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามพระราชบัญญัติดังกล่าวอีก ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share