คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3975/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 โดยการเสนอให้เช่าและให้เช่าวิดีโอเทปภาพยนตร์ซึ่งเป็นงานที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 แต่ทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า วิดีโอเทปภาพยนตร์ของกลางเป็นวิดีโอเทปภาพยนตร์มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และมีสติกเกอร์ที่มีตราประทับของเจ้าพนักงานกับข้อความว่า “อนุญาตแล้ว” ปรากฏอยู่ ไม่ใช่วิดีโอเทปภาพยนตร์ที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องและเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบ และเมื่อไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องแล้วก็ย่อมไม่อาจพิพากษาให้ริบของกลาง รวมทั้งให้วิดีโอเทปของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 8, 15, 31, 61, 66, 70, 75 76 ป.อ. มาตรา 33 สั่งให้วิดีโอเทปภาพยนตร์ของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ และริบเอกสารให้เช่าวิดีโอเทปภาพยนตร์ของกลาง กับจ่ายค่าปรับกึ่งหนึ่งแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 (1) ประกอบมาตรา 70 วรรคสอง จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 เดือน และปรับ 50,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 56 หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29 และ 30 ให้วิดีโอเทปภาพยนตร์ของกลางจำนวน 3 ม้วน ตกเป็นของผู้เสียหายแต่ละคน ริบเอกสารการให้เช่าวิดีโอเทปภาพยนตร์ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 75 และให้จ่ายค่าปรับที่ชำระตามคำพิพากษากึ่งหนึ่งแก่ผู้เสียหายทั้งสองส่วนแห่งความเสียหาย ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองว่า “…จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของร้านวีดีโอ โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินกิจการได้ร่วมกันประกอบธุรกิจการค้าในการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์ในตลับเทปบันทึกภาพและเสียง (วีดีโอเทป) เรื่อง “ปล้นรักหักด่านเอฟบีไอ” จำนวน 1 ม้วน เรื่อง “ทหารจิ๋วไฮเทคโตคับโลก” จำนวน 1 ม้วน และเรื่อง “คู่เจรจาฟอกนรก” จำนวน 1 ม้วน ซึ่งเป็นงานที่ผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แล้วออกโฆษณาในร้านของจำเลย รวมทั้งเสนอขาย เสนอให้เช่า ให้เช่าแก่ประชาชนทั่วไปที่เข้ามาในร้านดังกล่าวนั้น ทั้งนี้ จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่างานดังกล่าวนั้นได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น…” จึงเป็นเรื่องที่โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 โดยการเสนอให้เช่าและให้เช่าวิดีโอเทปภาพยนตร์ซึ่งเป็นงานที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 แต่ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบรับกันฟังเป็นยุติได้ว่า วิดีโอเทปภาพยนตร์ของกลาง เป็นวิดีโอเทปภาพยนตร์มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และมีสติกเกอร์ที่มีตราประทับของเจ้าพนักงานกับข้อความว่า “อนุญาตแล้ว” ปรากฏอยู่ ไม่ใช่วิดีโอเทปภาพยนตร์ที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องแต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง และเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญเช่นนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางต้องพิพากษายกฟ้องคดีนี้เสียตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้อง และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 ประกอบมาตรา 70 วรรคสอง จึงเป็นการไม่ชอบ และเมื่อไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 รวมทั้งจำเลยที่ 2 ในความผิดที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง ทั้งของกลางมิได้กระทำละเมิดลิขสิทธิ์จึงไม่อาจพิพากษาให้ริบของกลางที่โจทก์อ้างว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และคำขอให้ริบของกลางรวมทั้งคำขอที่ให้ของกลางตกแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง.

Share