คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การสั่งริบของกลางในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ ซึ่งบัญญัติไว้เป็นพิเศษต่างหากจากประมวลกฎหมายอาญา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปและไม่มีรอยตราตามกฎหมายโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานนี้ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ริบรถยนต์ที่จำเลยขับบรรทุกไม้ของกลางนี้มาจากป่าและถูกยึดไว้เป็นของกลางด้วยได้ เพราะรถยนต์นี้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการมีไม้หวงห้ามนั้นตามมาตรา 74 ทวิ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยร่วมกันมีไม้ยางซึ่งเป็นไม้หวงห้ามไว้ในครอบครอง 2 ท่อน อันยังมิได้แปรรูป ฯ โดยมิได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานจับได้ไม้ยางดังกล่าวเป็นของกลางและยึดไว้ จำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันพาเอาไม้ของกลางไปซ่อนเสียในวันนั้นเอง เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมด้วยไม้ยาง 2 ท่อนบรรทุกอยู่บนรถจี๊ป เลขทะเบียนส.ฎ.8 พร้อมด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการบรรทุกไม้ อันเป็นพาหนะและอุปกรณ์ซึ่งจำเลยใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69,74 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 12, 18 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 142, 83 และสั่งริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ และว่ารถคันนี้เป็นของห้างหุ้นส่วนโรงเลื่อยจักรสุราษฎร์ธานี ไม่อยู่ในฐานะถูกยึดหรืออายัด จะขอให้สั่งริบไม่ได้

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 12 จำเลยที่ 2ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142 ลงโทษจำคุกจำเลย และริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่ารถยนต์ของกลางเป็นของนายบุญชัยเจ้าของโรงเลื่อยซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดด้วย และรถของกลางนี้ไม่ใช่เป็นของใช้ในการกระทำผิด ทั้งไม่ใช่เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้าม ฯ ตามมาตรา 69 ด้วยเพราะความผิดฐานมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองนั้นเป็นความผิดตั้งแต่ยังมิต้องชักลากพาไปไหน จำเลยได้รับผลในการกระทำผิดตามมาตรา 69มาแล้วก่อนที่จะเอาบรรทุกรถยนต์ รถยนต์ของกลางจึงหาใช่เป็นสิ่งอุปกรณ์ให้ได้ผลในความผิดฐานนี้ไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การสั่งริบของกลางในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้นั้นต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ซึ่งบัญญัติไว้เป็นพิเศษต่างหากจากประมวลกฎหมายอาญา นอกจากการริบไม้หรือของป่าตามมาตรา 74 แล้ว ยังมีพระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18 บัญญัติเพิ่มขึ้นเป็นมาตรา 74 ทวิด้วย คดีนี้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีบุคคลอื่นกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้อีก คงมีแต่จำเลยที่ 1 คนเดียวขับรถยนต์ขนไม้ท่อนบรรทุกรถยนต์มาจากป่า อันเป็นไม้หวงห้ามไม่มีตราประทับไว้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ผิดตามมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 ดังนี้ เห็นว่า ความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอาจจะเริ่มต้นได้ตั้งแต่ไม้ถูกตัดฟันอยู่ในป่า แต่มิใช่สุดสิ้นเพียงนั้น หากไม้นี้ถูกเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนมือไปอยู่ในความครอบครองของผู้นั้น ก็ย่อมมีความผิดฐานมีไม้หวงห้ามนี้เช่นเดียวกันและตลอดเวลาที่มีอยู่ในครอบครองของตน จำเลยที่ 1 เอาไม้หวงห้ามบรรทุกรถยนต์ขนมาก็มีความผิดฐานมีไม้หวงห้ามนี้ตลอดทางที่ขน การมีไม้ของจำเลยสำเร็จได้ด้วยการเอารถยนต์ขน และเพื่อให้ได้รับผลแห่งการมีไม้ จำเลยที่ 1 ได้นำไม้นั้นมายังโรงเลื่อย หากทิ้งไว้ในป่าก็หาได้รับผลในการมีไม้นั้นไม่ คำว่า “ให้ได้รับผล” ยังมุ่งหมายว่า เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการกระทำผิดด้วย ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 เอารถยนต์ขนไม้มายังโรงเลื่อย รถยนต์ที่ขนไม้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการมีไม้หวงห้ามนั้น ตามมาตรา 74 ทวิ จึงต้องริบตามมาตรานี้ ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าคนอื่นเป็นเจ้าของรถยนต์คันนี้มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด จึงริบไม่ได้ นั้น ในชั้นนี้ยังไม่ปรากฏว่าเจ้าของมิได้รู้เห็นด้วย

พิพากษายืน

Share