คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3973/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยยิงผู้เสียหายที่ 2 แล้วหันไปยิงผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายทั้งสองมิได้ยืนอยู่จุดเดียวกัน จำเลยจึงประสงค์ให้เกิดผลแก่ผู้เสียหายทั้งสองคนละคราวกัน ผู้เสียหายทั้งสองไม่ถึงแก่ความตายจึงเป็นการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นต่างกรรมกัน
พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องประสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4 (6) ได้ให้ความหมายคำว่า “มี ” ว่าหมายถึงมีกรรมสิทธิ์หรือมีไว้ในครอบครองโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกในการมีกรรมสิทธิ์หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งอาวุธปืนดังกล่าว ขณะที่จำเลยยิงปืนพวกของจำเลยซึ่งส่งอาวุธปืนให้ก็ยังอยู่ด้วยกัน การใช้อาวุธปืนของจำเลยเป็นเพียงชั่วคราวในขณะที่ยิงเท่านั้น อาวุธปืนจึงยังคงอยู่ในครอบครองของพวกจำเลย แม้จำเลยรู้ว่าพวกของจำเลยมีอาวุธปืน ก็จะพึงเป็นผลร้ายแก่จำเลยไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมในการครอบครองอาวุธปืนมาแต่ต้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 16 มีนาคม 2545 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 17 มีนาคม 2545 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง วันเวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนพกสั้นไม่ทราบชนิดและขนาด 1 กระบอกซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ไม่ได้จดทะเบียนและมีกระสุนปืนขนาดเดียวกันจำนวนหลายนัดซึ่งเป็นเครื่องกระสุนปืนตามกฎหมาย ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนพร้อมทั้งเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะบริเวณหน้าสำนักงานไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดจันทบุรี โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและกรณีไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวยิงนายอนุพล ผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเจตนาฆ่า ถูกบริเวณด้านหลังทะลุทรวงอก ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ จำเลยลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 ได้รับการรักษาบาดแผลอย่างทันท่วงที จึงไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กาย และจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวยิงนายปรีชา ผู้เสียหายที่ 2 โดยมีเจตนาฆ่าถูกบริเวณศรีษะด้านหลังซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญจำเลยลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำของจำเลยไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายที่ 2 ได้รับการรักษาบาดแผลอย่างทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 ,91, 288, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288 จำคุก 12 ปี ยกฟ้องข้อหามีและพาอาวุธปืน
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 12 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 24 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ถูกยิง ได้รับบาดเจ็บตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.15 และ จ.16 ตามลำดับ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นข้อแรกว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง และเป็นการกระทำต่างกรรมกันหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายทั้งสอง นายอนุรักษ์ นายภูพิงค์ และนายสุมิตร เบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยเป็นคนยิง โดยได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ว่า ขณะที่จำเลยยิงผู้เสียหายที่ 1 นั้น จำเลยอยู่ห่างจากผู้เสียหายที่ 1 ประมาณ 2 ถึง 3 เมตร ผู้เสียหายที่ 1 มีโอกาสเห็นหน้าจำเลย 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกตอนท้าแข่งรถจักรยานยนต์ และครั้งที่สองขณะยิง โดยเห็นจากแสงสว่างไฟฟ้าสาธารณะและที่บริเวณรั้วของสำนักงานการไฟฟ้า ได้ความจากคำเบิกความของนายอนุรักษ์ว่า จำหน้าจำเลยได้เนื่องจากมีการชกต่อยกัน ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความว่า ขณะที่จำเลยยิงผู้เสียหายที่ 2 นั้นจำเลยอยู่ห่างจากผู้เสียหายที่ 2 ประมาณ 2 เมตร ส่วนนายภูพิงค์เบิกความว่า ขณะที่จำเลยยิงนายภูพิงค์ จำเลยอยู่ห่างจากนายภูพิงค์ประมาณ 3 เมตร สำหรับนายสุมิตรนั้นเบิกความว่า ขณะที่จำเลยยิงนายอนุรักษ์ นายภูพิงค์ ผู้เสียหายที่ 2 และที่ 1 นั้น นายสุมิตรตกใจยืนอยู่กับที่ไม่ได้หลบหนี เช่นนี้มีเหตุผลให้เชื่อตามคำเบิกความพยานโจทก์ทั้งห้าปากดังกล่าว เนื่องจากพยานโจทก์มีโอกาสเห็นหน้าจำเลย ได้ เพราะมีการท้าแข่งรถจักรยานยนต์กัน ขณะที่จำเลยยิงอยู่ห่างกันไม่ไกลเพียง 2 ถึง 3 เมตรเท่านั้น โดยปรากฎว่าที่เกิดเหตุอยู่หน้าสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีแสงสว่างดังปรากฎตามภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุในเอกสารหมาย จ.1 ที่ร้อยตำรวจเอกอดุลย์ พนักงานสอบสวนออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุและถ่ายรูปไว้ในคืนเกิดเหตุนั่นเอง ตรงตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเบิกความว่า ที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟฟ้าสาธารณะและไฟที่ติดไว้บริเวณรั้วของสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดจันทบุรี โดยเฉพาะนายอนุรักษ์มีการชกต่อยกับจำเลยจึงต้องหันหน้าเข้าประชิดกันหลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน นายอนุรักษ์ นายภูพิงค์และนายสุมิตรไปชี้ยืนยันให้จ่าสิบตำรวจพงษ์ศักดิ์ จับกุมจำเลย นับว่าเป็นระยะเวลาใกล้เคียงกับวันเกิดเหตุ ความจำของพยานทั้งสามยังดีอยู่ซึ่งผู้เสียหายที่ 1 ก็เบิกความยืนยันสนับสนุนว่า หลังเกิดเหตุ 3 วัน เจ้าพนักงานตำรวจนำจำเลยไปให้ดูตัว ผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันว่า เป็นคนที่ใช้อาวุธปืนยิง ส่วนผู้เสียหายที่ 2 ไม่ได้ชี้ยืนยันเนื่องจากปวดศรีษะ (จากพิษกระสุนปืน) แม้พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความไม่ตรงกันทั้งหมดก็เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อย ไม่ถึงกับเป็นพิรุธ การที่พยานโจทก์ดังกล่าวต่างไม่รู้จักจำเลยและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนเกิดเหตุ จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่า เป็นการใส่ความปรักปรำจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ ทางด้านพยานหลักฐานของจำเลยกลับไม่น่าเชื่อถือ กล่าวคือ ไม่มีเหตุผลที่จำเลยขับรถจักรยายนยต์ให้นางสาวปวีนา ซ้อนท้ายผ่านไปหน้าสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดจันทบุรีตามปกติ จะถูกถีบรถจักรยานยนต์ล้มลงแล้วถูกรุมชกต่อยโดยไม่มีสาเหตุ แม้จำเลยมีนางสาวปวีณาเบิกความเป็นพยานเช่นเดียวกับจำเลย แต่นางสาวปวีนาก็เป็นเพื่อนจำเลยย่อมต้องช่วยเหลือจำเลยเป็นธรรมดา ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าวันเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิ สีแดง หมายเลขทะเบียน กนน จันทบุรี 951 ไม่ใช่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นโซนิค ตามคำเบิกความของนายปรีชาและนายภูพิงค์พยานโจทก์นั้นเห็นว่า แม้จำเลยมีนายบุญเสริม ผู้ใหญ่บ้านเบิกความเป็นพยานว่า ที่บ้านจำเลยประกอบอาชีพรับซื้อของเก่า มีรถจักรยานยนต์ 1 คัน ยี่ห้อคาวาซากิ สีแดง และนายวิชิต บิดาจำเลยเบิกความว่า วันเกิดเหตุจำเลยขับรถยี่ห้อคาวาซากิ สีแดง ซึ่งภรรยานายวิชิตเช่าซื้อมาจากบริษัท ทั้งมีนายชรัตน์ นายวุฒิชัย และนางสาวปวีณาเบิกความเช่นเดียวกันก็ตาม แต่ก็เป็นการเบิกความโดยปราศจากเอกสารยืนยัน ไม่ว่าจะเป็นทะเบียนรถหรือสัญญาเช่าซื้อจึงไม่อาจรับฟังว่าเป็นจริงดังคำเบิกความ พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักพอหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสอง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสอง ถูกผู้เสียหายที่ 1 ที่ชายโครงด้านซ้ายและถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่กะโหลกศีรษะ นับว่าเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย จำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าจะทำให้ผู้เสียหายทั้งสองถึงแก่ความตายได้ ย่อมถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง เมื่อผู้เสียหายทั้งสองไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยยิงผู้เสียหายทั้งสองที่มาด้วยกันในคราวเดียวกันในระยะกระชั้นชิดติดต่อกัน โดยมีเจตนาเดียว จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวไม่ใช่หลายกรรมตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษานั้น เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายสุมิตร ซึ่งไม่ได้วิ่งหลบหนีนั้นจำเลยยิงผู้เสียหายที่ 2 แล้วหันไปยิงผู้เสียหายที่ 1 เช่นนี้ ผู้เสียหายทั้งสองไม่ได้ยืนอยู่จุดเดียวกัน จำเลยจึงประสงค์ให้เกิดผลแก่ผู้เสียหายทั้งสองคนละคราวกัน เป็นการกระทำที่ต่างกรรมกัน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยปัญหาข้อนี้มาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ต่างเบิกความตรงกันว่า จำเลยร้องบอกพวกให้ส่งอาวุธปืนให้ พวกของจำเลยจึงส่งอาวุธปืนให้แก่จำเลย แล้วจำเลยยิง แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้ครอบครองอาวุธปืนมาแต่แรก พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4 (6) ได้ให้ความหมายคำว่า “มี” ว่าหมายถึงมีกรรมสิทธิ์หรือมีไว้ในครอบครอง โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกในการมีกรรมสิทธิ์หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งอาวุธปืนดังกล่าว ปรากฎว่าขณะที่จำเลยยิงนั้นพวกของจำเลยซึ่งส่งอาวุธปืนให้ก็ยังอยู่ด้วยกันการใช้อาวุธปืนของจำเลยเป็นเพียงชั่วคราวในขณะที่ยิงเท่านั้น อาวุธปืนจึงยังคงอยู่ในครอบครองของพวกจำเลย แม้จำเลยรู้ว่าพวกของจำเลยมีอาวุธปืน ก็จะฟังเป็นผลร้ายแก่จำเลยไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมในการครองครองอาวุธปืนดังกล่าวมาแต่ต้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า เป็นอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นหรือไม่ ส่วนการพาอาวุธปืนติดตัวไปนั้นเป็นที่แน่ชัดว่าก่อนเกิดเหตุพวกของจำเลยเป็นคนพาอาวุธปืนติดตัวไปสำหรับหลังเกิดเหตุนั้น โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยเป็นคนนำอาวุธปืนติดตัวไป จำเลยจึงอาจส่งมอบคืนให้แก่พวกแล้วต่างคนต่างหลบหนีไปก็ได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share