แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ป.วิ.อ. มาตรา 50 บัญญัติว่า ในกรณีที่ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหายตามมาตรา 43 และ 44 ให้ถือว่าผู้เสียหายนั้นเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้น ผู้เสียหายที่จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามมาตราดังกล่าวจะต้องเป็นผู้เสียหายเฉพาะในความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 เท่านั้น อันได้แก่คดีลักทรัพย์ วิ่งราว ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอกหรือรับของโจร คดีที่ผู้ร้องเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานรุกล้ำคลองชลประทานตาม พ.ร.บ. การชลประทานหลวงฯ จึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 50
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ.2485 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง, 37 วรรคหนึ่ง และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิม โดยให้ยกคำร้องขอเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องมีอำนาจขอเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 50 บัญญัติว่า ในกรณีที่ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหายตามมาตรา 43 และ 44 ให้ถือว่าผู้เสียหายนั้นเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้น ผู้เสียหายที่จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามมาตราดังกล่าวจะต้องเป็นผู้เสียหายเฉพาะในความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 เท่านั้น อันได้แก่ คดีลักทรัพย์ วิ่งราว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอก หรือรับของโจร แต่คดีนี้ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานรุกล้ำคลองชลประทานตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ.2485 อันมิใช่ความผิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 แต่อย่างใด กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 50 ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจขอเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน