คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 397/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยไปจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินโฉนดพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยให้โจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ทางแถบคลองเป็นจำนวน 100 ส่วนใน 780 ส่วนของเนื้อที่ทั้งหมดตามโฉนดที่ดินดังกล่าวและเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนสิทธิให้โจทก์เรียบร้อยแล้ว การบังคับคดีจึงสิ้นสุดลง การที่โจทก์จำเลยมาตกลงจะแบ่งแยกที่ดินกันอีกจึงเป็นเรื่องนอกเหนือจากคำพิพากษา ไม่อาจที่จะนำมาพิจารณาและบังคับในคดีนี้ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยไปจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 7333 ต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยให้โจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ทางแถบคลองเป็นจำนวน 100ส่วนใน 780 ส่วนของเนื้อที่ทั้งหมดตามโฉนดดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีหนังสือสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนสิทธิในที่ดินตามคำพิพากษาให้โจทก์และเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันจะไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้แบ่งแยกที่พิพาท แต่ตกลงแนวเขตในการรังวัดแบ่งแยกที่ดินกันไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายละเอียดเรื่องการรังวัด โดยให้รังวัดทางแถบคลองลงมาทางใต้ 10 วา

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์โดยวัดทางด้านทิศตะวันตกจากริมคลองไปยาว 10 วา

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นเพียงแต่มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยไปจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินโฉนดพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยให้โจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ทางแถบคลองเป็นจำนวน 100 ส่วนใน780 ส่วนของเนื้อที่ทั้งหมดตามโฉนดที่ดินดังกล่าว และปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนสิทธิให้โจทก์เสร็จเรียบร้อยแล้ว การบังคับคดีจึงสิ้นสุดลง การที่โจทก์จำเลยมาตกลงจะแบ่งแยกที่ดินกันอีกเป็นเรื่องนอกเหนือจากคำพิพากษาไม่อาจที่จะนำมาพิจารณาและบังคับในคดีนี้ได้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยและบังคับให้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share