คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3969/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยอ้างว่าฝ่ายโจทก์ฉ้อฉล ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในสำนวนยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีตามฎีกาโจทก์ได้จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่จำเลยและโจทก์กล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ แต่จำเลยมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบตามที่อ้างไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ กรณีจึงไม่ใช่เรื่องมีการฉ้อฉลตามที่อ้างไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138(1) ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมาจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ก่อนวันนัดพิจารณา โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่า จำเลยตกลงยินยอมชำระหนี้เงินกู้รวมทั้งสิ้น260,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในสำนวนยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีตามฎีกาโจทก์ได้ จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่จำเลยกล่าวอ้างในคำฟ้องอุทธรณ์และที่โจทก์กล่าวอ้างในคำแก้อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนตามคำสั่งศาลฎีกา ในวันนัดไต่สวน จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มา ศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวนพยานจำเลยคงไต่สวนพยานโจทก์แล้วส่งสำนวนให้ศาลฎีกาพิจารณา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล แต่เมื่อศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว จำเลยมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นตามที่อ้างไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ ฉะนั้นกรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่มีการฉ้อฉลตามที่อ้าง ไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1)ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมาจึงเป็นการไม่ชอบ
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share