แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คู่ความคดีก่อนกับคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน ประเด็นที่ได้วินิจฉัยในคดีก่อนกับประเด็นในคดีนี้ก็คือประเด็นเดียวกันว่า กันสาดหน้าต่างตึกแถวของจำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์หรือไม่ และกันสาดตามฟ้องคดีนี้ก็คือกันสาดเดิมตามฟ้องในคดีก่อนมิได้มีการต่อเติมหรือเปลี่ยนแปลงอันจะเป็นการละเมิดครั้งใหม่ โดยในคดีก่อนศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามคำท้าของคู่ความว่ากันสาดไม่ได้อยู่ในเขตที่ดินของโจทก์คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์ย่อมต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนดังกล่าว และจะมาฟ้องคดีนี้เพื่อขอให้ศาลกลับมาวินิจฉัยซ้ำในประเด็นเดียวกันอีกหาได้ไม่ ฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
โจทก์อุทธรณ์และฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานต่อไปมิได้ขอให้ชนะคดีตามคำฟ้อง โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้คือชั้นศาลละ 200บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาส่วนที่เกินมาให้แก่โจทก์
การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์คดีไม่มีทุนทรัพย์แทนจำเลยเป็นเงิน 2,000 บาท จึงสูงกว่าอัตราขั้นสูงตามกฎหมาย ซึ่งกำหนดไว้เพียง 1,500 บาท ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ แม้โจทก์จะมิได้ยกขึ้นฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยก่อสร้างตึกในที่ดินของจำเลยโดยมีกันสาดหน้าต่างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนกันสาด จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนกันสาดและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 78,000บาท และค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องเดือนละ 6,000 บาท แก่โจทก์ จนกว่าจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1926/2532ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะที่ดินตามฟ้องเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งพลเมืองใช้ร่วมกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 103430 ตำบลมะขามหย่ง อำเภอเมืองชลบุรีจังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 7 ตารางวา เดิมเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 4จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงทางทิศตะวันออกของที่ดินของโจทก์ เมื่อวันที่ 12มิถุนายน 2532 โจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยก่อสร้างกันสาดหน้าต่างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์กว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 50 ถึง 60 เซนติเมตร ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนและให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 26,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้คดี ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน โดยตกลงท้ากันว่า ให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินตรงกันสาดของตึกแถวในที่ดินของจำเลยตามภาพถ่ายท้ายหนังสือ หากเจ้าพนักงานที่ดินรายงานว่ากันสาดอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยยอมแพ้คดีและยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 10,000 บาท แต่ถ้าเจ้าพนักงานที่ดินรายงานว่ากันสาดดังกล่าวไม่ได้อยู่ในที่ดินของโจทก์ โจทก์ยอมแพ้คดีต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดแล้ว ผลปรากฏว่ากันสาดไม่ได้อยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นจึงพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1926/2532 ของศาลชั้นต้นคดีคงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนตามสำนวนคดีแพ่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวหรือไม่ ในปัญหาข้อนี้เห็นว่าคู่ความคดีก่อนกับคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน ประเด็นที่ได้วินิจฉัยในคดีก่อนกับประเด็นในคดีนี้ก็คือประเด็นเดียวกันว่ากันสาดหน้าต่างตึกแถวของจำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์หรือไม่ โดยในคดีก่อนศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามคำท้าของคู่ความว่ากันสาดไม่ได้อยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์ย่อมต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนดังกล่าว และจะมาฟ้องคดีนี้เพื่อขอให้ศาลกลับมาวินิจฉัยซ้ำในประเด็นเดียวกันอีกหาได้ไม่ ข้ออ้างต่าง ๆ ตามฎีกาของโจทก์มิใช่ข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และกันสาดตามฟ้องคดีนี้ก็คือกันสาดเดิมตามฟ้องในคดีก่อนมิได้มีการต่อเติมหรือเปลี่ยนแปลงอันจะเป็นการละเมิดครั้งใหม่ตามที่โจทก์อ้างในฎีกา ฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่โจทก์อุทธรณ์และฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานต่อไป มิได้ขอให้ชนะคดีตามคำฟ้อง โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้คือชั้นศาลละ 200 บาท ซึ่งต้องคืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาส่วนที่เกินมาให้แก่โจทก์ และเมื่อเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยเป็นเงิน 2,000 บาท จึงสูงกว่าอัตราขั้นสูงตามกฎหมายซึ่งกำหนดไว้เพียง1,500 บาท ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้แม้โจทก์จะมิได้ยกขึ้นฎีกา”
พิพากษายืน