คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3957/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 119 กำหนดให้ศาลเป็นผู้พิจารณาว่าสิทธิเรียกร้องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเรียกร้องนั้นเป็นสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้หรือไม่ เมื่อผู้ร้องปฏิเสธว่ามิได้เป็นหนี้ลูกหนี้ ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบก่อนตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดและผู้ร้องยังติดใจอ้างเอกสารซึ่งยังไม่เข้าสู่สำนวนของศาล ศาลชั้นต้นจึงไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะสั่งว่าเอกสารดังกล่าวไม่จำเป็นแก่คดีและหากได้เอกสารดังกล่าวมาแล้วผู้ร้องไม่มีพยานอื่นอีกต่อไปหน้าที่นำสืบต่อไปย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะพิสูจน์ให้ได้ตามประเด็นที่ตนยกขึ้นคัดค้าน ศาลจึงจะวินิจฉัยว่าจะยกคำร้องของผู้ร้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นด่วนงดสืบพยานเพราะผู้ร้องแถลงไม่ติดใจสืบตัวผู้ร้องแต่ยังติดใจสืบพยานเอกสารซึ่งเป็นสาระสำคัญในการปฏิเสธหนี้ของผู้ร้องดังนี้เป็นการไม่ชอบ.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายบัญชาอ่าวสุวรรณ จำเลยที่ 2 เด็ดขาดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2529เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 แล้วมีหนังสือแจ้งให้นายอดิสัย อ่าวสุวรรณ ผู้ร้องชำระหนี้และยืนยันหนี้ไปยังผู้ร้อง ผู้ร้องจึงร้องคัดค้านการยืนยันหนี้ต่อศาล
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมิได้เป็นหนี้จำเลยที่ 2 ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้แก่กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนได้ความเพียงว่ามีการเบิกเงินของจำเลยที่ 1 ในบัญชีธนาคาร ซึ่งมิได้เป็นบุคคลล้มละลายและไม่มีหลักฐานว่าจะมีการเบิกเงินหรือไม่ อย่างไรเมื่อใด ใครเป็นผู้เบิก เพื่อวัตถุประสงค์ใด ผู้ร้องมิได้เป็นหนี้จำเลยที่ 2 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจติดตามหนี้รายนี้ ผู้ร้องจึงไม่ต้องชำระเงินตามคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องได้รับเงินจากนายบุญชู พงษ์มงคลสาม จำนวน 500,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2ในฐานะกรรมการรองผู้จัดการของจำเลยที่ 1 สั่งให้นายบุญชูเบิกไปจากบัญชีของจำเลยที่ 1 ที่เปิดไว้กับธนาคาร ตามสำเนาภาพถ่ายบัญชีที่ธนาคารดังกล่าวส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 และกรรมการของจำเลยที่ 1 ร่วมกันกู้เงินจากประชาชนโดยให้ดอกเบี้ยตอบแทนในอัตราสูงกว่ากฎหมายกำหนด จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อบรรดาเจ้าหนี้ผู้ให้กู้จำเลยที่ 2 กับพวกตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ขึ้นบังหน้าหลอกลวงประชาชน การรับจ่ายเงินของจำเลยที่ 1 กระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 กับพวก เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น ทนายผู้ร้องแถลงไม่สืบผู้ร้องคงติดใจให้ศาลชั้นต้นเรียกบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 3788 ของจำเลยที่ 1ซึ่งเปิดไว้กับธนาคารมาประกอบการพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่จำเป็นแก่คดี จึงสั่งให้งดเรียกเอกสารดังกล่าวและวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่สามารถนำสืบได้ตามคำร้อง ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดเรียกเอกสารดังกล่าวและยกคำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ขอให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ได้ความว่าผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านการยืนยันหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านแล้ว ศาลชั้นต้นนัดพิจารณาวันที่ 26 ธันวาคม 2531ในวันนัดทนายผู้ร้องแถลงว่า ผู้ร้องไม่มาศาลเนื่องจากเดินทางไปต่างประเทศขอเลื่อนคดีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่คัดค้านศาลชั้นต้นจึงให้เลื่อนไปนัดพิจารณาใหม่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2532โดยกำชับผู้ร้องว่าในวันนัดจะไม่ให้เลื่อนคดีอีก ครั้นถึงวันนัดทนายผู้ร้องแถลงว่า ตัวผู้ร้องไม่มาศาลจึงไม่ติดใจสืบ แต่ติดใจขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 3788 ของจำเลยที่ 1 จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาราชเทวี มาประกอบการพิจารณา ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่จำเป็นแก่คดีจึงให้งดเสีย และเห็นว่า ผู้ร้องไม่สามารถนำสืบให้ศาลเห็นได้ตามคำร้องจึงให้ยกคำร้อง ซึ่งผู้ร้องได้อุทธรณ์และฎีกาต่อมาว่าเอกสารที่ผู้ร้องประสงค์จะให้ศาลชั้นต้นเรียกมานั้นจำเป็นแก่คดี
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดเรียกพยานเอกสารและมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่า เอกสารที่ศาลชั้นต้นไม่เรียกมานั้นเป็นบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ที่จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคาร มิใช่บัญชีของจำเลยที่ 2 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็อาจเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้องที่ว่าเงินในบัญชีมิใช่เงินของจำเลยที่ 2 และผู้ร้องมิได้เป็นหนี้จำเลยที่ 2 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือทวงหนี้ไปยังผู้ร้องอาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมายและผู้ร้องไม่จำต้องชำระหนี้ตามหนังสือยืนยันหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่วนการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านคำร้องของผู้ร้องว่า ผู้ร้องได้รับเงินสดจำนวน 500,000 บาทจากนายบุญชู พงษ์มงคลสาม ซึ่งได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 2ให้เบิกเงินจากบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 1 ไปให้ผู้ร้องโดยผู้ร้องเป็นผู้ลงลายมือชื่อรับไว้นั้น เป็นเพียงคำคัดค้านของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ยังไม่ปรากฏว่าผู้ร้องยอมรับในประเด็นที่คัดค้าน ทั้งไม่ปรากฏด้วยว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านได้อ้างส่งเอกสารใด ๆ ต่อศาลพอที่ศาลชั้นต้นจะใช้เป็นหลักฐานในการมีคำสั่งให้งดสืบพยานผู้ร้อง เมื่อศาลฎีกาได้รับฎีกาของผู้ร้องแล้วได้เรียกสำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และสำนวนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคำร้องคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มาตรวจดูปรากฏข้อเท็จจริงจากทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้หลักฐานการเป็นหนี้รายนี้จากสำนวนคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.287/2528ของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์ในคดีดังกล่าวฟ้องขอให้นายปรีชา สิโรรสเป็นบุคคลล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วได้ความต่อไปว่านายปรีชาเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 และมีหลักฐานบางประการแสดงว่านายปรีชานำเงินของจำเลยที่ 1 จำนวนมากหลบหนีไป จำเลยที่ 2 จึงให้นายบุญชู พงษ์มงคลสาม ไปเบิกเงินจำนวน 500,000 บาทจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาราชเทวีบัญชีเลขที่ 3788ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 เพื่อใช้จ่ายในกิจการบริษัทจำเลยที่ 1 ไปก่อน แล้วจำเลยที่ 2 หลบหนีไป ต่อมานายบุญชูนำเงินดังกล่าวไปให้ ผู้ร้องลงชื่อรับไว้ และได้ความด้วยว่าผู้ร้องเป็นภรรยาของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้หากศาลชั้นต้นพิจารณาได้ความย่อมมีปัญหาที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยว่าสิทธิเรียกร้องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเรียกร้อง ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 นั้นเป็นสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 หรือของจำเลยที่ 1 หากพิจารณาว่าเป็นสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่มีอำนาจเรียกร้องและยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้ในคดีนี้ หรือหากฟังว่าเงินที่เบิกจากบัญชีของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งให้เบิกมาเป็นเงินของจำเลยที่ 2 ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า จะถือว่าเป็นสิทธิเรียกร้องที่จะเรียกให้ผู้ร้องชำระตามมาตรา 119 ดังกล่าวได้หรือไม่เพราะผู้ร้องปฏิเสธว่ามิได้เป็นหนี้จำเลยที่ 2 ข้อที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มาตรา 119 ได้กำหนดให้ศาลเป็นผู้พิจารณา เมื่อผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบก่อนตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด และผู้ร้องยังติดใจอ้างเอกสารซึ่งยังไม่ปรากฏเข้าสู่สำนวนศาลแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นจึงไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะสั่งว่าเอกสารดังกล่าวไม่จำเป็นแก่คดีและหากได้เอกสารดังกล่าวมาแล้วผู้ร้องไม่มีพยานอื่นอีกต่อไป หน้าที่นำสืบต่อไปย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการที่จะพิสูจน์ให้ได้ตามประเด็นที่ตนยกขึ้นคัดค้านคำร้องของผู้ร้อง ศาลจึงจะวินิจฉัยว่าจะยกคำร้องของผู้ร้องหรือไม่ ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นด่วนงดสืบพยานเพราะผู้ร้องแถลงไม่ติดใจสืบตัวผู้ร้องแต่ยังติดใจสืบพยานเอกสารซึ่งเป็นสาระสำคัญในการปฏิเสธหนี้ของผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ…”
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ นับแต่ให้เรียกเอกสารตามที่ผู้ร้องอ้าง และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่.

Share