คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3953/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง บัญชีเดินสะพัด ค้ำประกัน จำนอง ++
++ จำเลยทำสัญญากู้เงินเกินบัญชีแล้วมีการเดินสะพัดทางบัญชีในบัญชีกระแสรายวันตลอดมาโดยมีการทำบันทึกต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหลายครั้ง เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาแล้ว แม้ยังไม่มีการทำบันทึกต่ออายุสัญญาครั้งต่อไป แต่โจทก์ยังยอมให้จำเลยเบิกถอนเงินออกจากบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีเป็นการเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อมาอีก จึงถือได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกันให้สัญญาเดินสะพัดดังกล่าวยังมีผลต่อไปอีกโดยไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดสัญญา การที่ต่อมาโจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอีกฉบับหนึ่งโดยให้มีการเดินสะพัดทางบัญชีกันในบัญชีกระแสรายวันเดิม และต่อมาโจทก์กับจำเลยได้ตกลงทำบันทึกต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกเป็นลายลักษณ์อักษรโดยกำหนดวันสิ้นสุดสัญญาเช่นเดียวกับสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่ 2 ดังนี้ แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่วันที่โจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่ 2 โจทก์กับจำเลยตกลงเดินสะพัดตามบัญชีเดินสะพัดคือบัญชีกระแสรายวันเดิม โดยถือเงื่อนไขตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่ 2 รวมกัน ซึ่งการคิดดอกเบี้ยต้องนำยอดหนี้ตามวงเงินของสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแต่ละฉบับมาคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ตกลงกันในแต่ละสัญญาแยกกันก่อน แล้วจึงนำดอกเบี้ยมารวมยอดกันเพื่อทบเป็นต้นเงินใหม่ การปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยที่ใช้ในการคิดยอดหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ เมื่อปรากฏว่า จำเลยนำเงินเข้าบัญชีหักชำระหนี้หมดแล้วในวันที่จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่ 2 แล้ว จึงเบิกถอนเงินออกไปใหม่อีกในวันเดือนกัน การคิดดอกเบี้ยจากยอดหนี้ที่เบิกถอนออกไปใหม่ยังพอที่ศาลจะพิพากษากำหนดวิธีการคิดยอดหนี้เฉพาะดอกเบี้ยตามอัตราที่ถูกต้องได้ โดยไม่ต้องคิดคำนวณเป็นตัวเลขให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามสิทธิที่โจทก์ควรได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ได้ ++

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกค้าธนาคารโจทก์สาขากันตัง โดยเปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ ๓๔ หรือ ๙๐๔-๖-๐๐๐๓๔-๖ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์ ๒ ฉบับ โดยใช้บัญชีกระแสรายวันดังกล่าวเป็นบัญชีเดินสะพัด ฉบับแรกทำสัญญาเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๖ วงเงิน ๖๐๐,๐๐๐บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี ซึ่งมีการต่ออายุสัญญาฉบับนี้ ๖ ครั้ง ครั้งสุดท้ายกำหนดชำระหนี้เสร็จภายในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ ฉบับที่ ๒ ทำสัญญาเมื่อวันที่ ๒๘พฤศจิกายน ๒๕๓๒ วงเงิน ๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี กำหนดชำระหนี้เสร็จภายในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้งสองฉบับมีข้อตกลงว่า จำเลยที่ ๑ ยอมชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทุกเดือน หากไม่ชำระให้นำดอกเบี้ยค้างชำระทบเข้าเป็นต้นเงินเพื่อคิดดอกเบี้ยต่อไปตามประเพณีของธนาคารพาณิชย์ หากธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในภายหลังให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์พึงเรียกเก็บได้นับแต่วันที่ประกาศนั้นมีผลบังคับจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จในวันทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรก จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนจำนองที่ดินตามน.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๐ ถึง ๒๒ ตำบลบางหมาก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ที่มีอยู่แล้วและที่จะมีขึ้นในภายหน้าในวงเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี ต่อมาวันที่ ๖ มิถุนายน๒๕๒๘ ตกลงเพิ่มเงินจำนองอีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยเงินส่วนที่เพิ่มร้อยละ๑๘.๕ ต่อปี และวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ต้นเงินส่วนที่มีการเพิ่มเงินจำนองครั้งแรกจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แล้วเพิ่มเงินจำนองอีก ๑,๔๐๐,๐๐๐บาท จึงรวมเป็นวงเงินจำนอง ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และในวันทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับหลัง จำเลยที่ ๒ ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๑๑๖ ตำบลกันตังอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ที่มีอยู่แล้วและที่จะมีขึ้นต่อไปตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับหลังในวงเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยมีข้อตกลงในสัญญาจำนองทั้งสองฉบับว่าหากบังคับจำนองขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ ในวันที่จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจำนองดังกล่าว จำเลยที่ ๒ ยังทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับหลังไว้แก่โจทก์ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑นอกจากนี้ จำเลยที่ ๑ ยินยอมให้โจทก์ทำสัญญาประกันภัยทรัพย์จำนองโดยให้โจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยแทนแล้วเรียกเก็บจากจำเลยที่ ๑ ต่อมามีการทำสัญญาประกันภัยตามข้อตกลงดังกล่าวและโจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยแทนจำเลยที่ ๑ ไป ๕ ครั้ง ครั้งที่ ๑เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๔ เป็นเงิน ๒,๒๓๐ บาท ครั้งที่ ๒ วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๓๕ครั้งที่ ๓ วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๖ ครั้งที่ ๔ วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๓๗ ครั้งที่ ๕ วันที่๑๓ มกราคม ๒๕๓๘ เป็นเงินครั้งละ ๒,๐๗๔ บาท รวมเป็นเงิน ๑๐,๕๒๖ บาท โจทก์เรียกเก็บเงินจำนวนนี้จากจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ จึงนำไปหักบัญชีของจำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ จะต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยแทนไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำนวณหนี้เบี้ยประกันภัยพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๘ เป็นเงิน ๑๒,๖๘๒,๘๕ บาท หลังจากทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้วมีการเดินสะพัดทางบัญชีตามบัญชีกระแสรายวันดังกล่าวเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ อันเป็นวันครบกำหนดตามสัญญา จำเลยที่ ๑ มียอดหนี้ซึ่งคำนวณดอกเบี้ยแบบทบต้นอัตราร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี เป็นเงิน ๖,๔๕๐,๐๗๓.๕๔บาท และคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่๑๓ กันยายน ๒๕๓๓ ถึงวันฟ้องวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๘ รวมเป็นหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ต้องชำระถึงวันฟ้อง ๑๒,๓๐๙,๒๑๔.๓๒ บาท จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ในต้นเงิน ๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแบบทบต้นอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ ถึงวันที่๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ อันเป็นวันครบกำหนดสัญญา เป็นดอกเบี้ย ๕๕๑,๒๖๙.๖๑ บาทรวมเป็นเงิน ๔,๙๕๑,๒๖๙.๖๑ บาท และดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปีของต้นเงินจำนวนนี้ นับแต่วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๓ ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินที่จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดจำนวน ๙,๔๔๘,๙๒๑.๕๓ บาท โดยโจทก์คำนวณหนี้และอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาและประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัด สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และบอกกล่าวบังคับจำนองให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้เสร็จภายในเวลาอันควร ซึ่งจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือแล้วเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑๒,๓๒๑,๘๙๗.๑๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ๑๘ ต่อปี จากต้นเงิน ๖,๔๕๐,๐๗๓.๕๔ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๐,๕๒๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ ๒ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน ๙,๔๔๘,๙๒๑.๕๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี จากต้นเงิน ๔,๙๕๑,๒๖๙.๖๑ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายโดยชัดแจ้งเกี่ยวกับการนำเงินเข้าฝาก การออกเช็คเบิกถอนเงินและรับเงินไปจากโจทก์ว่าได้เดินสะพัดทางบัญชีอย่างไร วันใด จำนวนเท่าใด และคิดดอกเบี้ยอย่างไร ทำให้จำเลยทั้งสองไม่อาจเข้าใจและต่อสู้คดีได้ จำเลยทั้งสองไม่รับรองในจำนวนหนี้ตามฟ้อง เพราะฟ้องเคลือบคลุม บัญชีกระแสรายวันท้ายคำฟ้องก็ไม่มีรายการในวันสิ้นสุดสัญญาและวันฟ้อง มีแต่ยอดหนี้ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ซึ่งเป็นเวลาก่อนวันฟ้องเป็นยอดหนี้ถึง ๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ต่างกับที่โจทก์บรรยายฟ้อง จำเลยทั้งสองไม่อาจทราบยอดหนี้ได้ ทั้งการคิดดอกเบี้ยของโจทก์เป็นอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ เพราะมิได้ระบุไว้เลยว่าในแต่ละช่วงเวลาตามบัญชีคิดดอกเบี้ยร้อยละเท่าใดโจทก์เพียงแต่กล่าวอ้างมาลอย ๆ การคิดดอกเบี้ยแบบทบต้นคิดเมื่อใด คิดอย่างไรก็เช่นเดียวกัน จำเลยทั้งสองยอมรับว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีลงวันที่๑๒ กันยายน ๒๕๒๖ ยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี จริง แต่เมื่อวันที่ ๒๘พฤศจิกายน ๒๕๓๒ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงอัตราดอกเบี้ยกันใหม่โดยโจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีท้ายฟ้อง โจทก์จึงไม่อาจเรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี ได้อีก คงเรียกได้เพียงไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปีนอกจากนั้นนับแต่ครบกำหนดสัญญาแล้วโจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบว่าดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดสัญญาคิดอัตราเท่าใด ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบตามสัญญาท้ายฟ้อง โจทก์จึงไม่อาจเรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๓ ตามฟ้องได้ นอกจากนี้ในวันดังกล่าวจนถึงวันฟ้องดอกเบี้ยเงินกู้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยหาใช่ร้อยละ ๑๘ ต่อปี ไม่อย่างไรก็ตามโจทก์ไม่อาจเรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี นับจากวันถัดจากวันครบสัญญาได้ เพราะดอกเบี้ยเนื่องจากการผิดนัดผิดสัญญาตามฟ้องเป็นการเรียกดอกเบี้ยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์หาอาจเรียกดอกเบี้ยเกินร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ ได้ไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีแก่โจทก์ ๖,๔๔๒,๖๒๓.๘๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๓กันยายน ๒๕๓๓ จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ชำระหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยแก่โจทก์๑๒,๖๘๒.๘๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ ๔,๙๕๑,๒๖๙.๖๑บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๓ จนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินตาม น.ส.๓ ก.เลขที่ ๒๐, ๒๑ และ ๒๒ตำบลบางหมาก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง และโฉนดเลขที่ ๔๑๑๖ ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้จนครบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายในอายุความตามกฎหมาย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ เปิดบัญชีกระแสรายวันไว้แก่โจทก์ ตามใบขอเปิดบัญชีเอกสารหมาย จ.๓ และบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๑๖ ต่อมาวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๑ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์ในวงเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ๑๗.๕ ต่อปี กำหนดชำระหนี้เสร็จวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๗ และมีการทำบันทึกต่ออายุสัญญาออกไปอีก ๖ ครั้ง ครั้งสุดท้ายทำบันทึกต่ออายุสัญญาเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน๒๕๓๒ กำหนดชำระหนี้เสร็จภายในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบันทึกต่ออายุสัญญาเอกสารหมาย จ.๕ และ จ.๖ และวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน๒๕๓๒ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์อีกฉบับหนึ่งในวงเงิน๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี กำหนดชำระหนี้เสร็จภายในวันที่๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.๗ โดยการเบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาทั้งสองฉบับได้ใช้บัญชีกระแสรายวันดังกล่าวเป็นบัญชีเดินสะพัดจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองที่ดิน น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๐ ถึง ๒๒ตำบลบางหมาก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ๑๗.๕ ต่อปี หลังจากมีการขึ้นวงเงินจำนอง ๒ ครั้งแล้ว มีวงเงินจำนองรวมทั้งสิ้น๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาจำนองและบันทึกขึ้นเงินจำนองเอกสารหมาย จ.๘ ถึงจ.๑๐ จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๑๑๖ ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ที่มีอยู่แก่โจทก์ในวงเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ต่อปี ตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.๑๒ จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ ในการกู้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับหลังโดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ อย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมายจ.๑๓ โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งสองแล้ว ตามเอกสารหมาย จ.๒๔ถึง จ.๒๗ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลดไว้ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย จ.๑๘
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นในอัตราเท่าใด เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์ฉบับแรกเมื่อปี ๒๕๒๖ วงเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๕ แล้วมีการเดินสะพัดทางบัญชีในบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๑๖ ตลอดมาโดยมีการทำบันทึกต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว ๖ ครั้ง ซึ่งในการต่ออายุครั้งที่ ๕ ได้ตกลงต่ออายุสัญญาไปจนถึงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๒ ครั้นเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาตามที่ต่อไปในครั้งที่๕ ดังกล่าวแล้ว แม้ยังไม่มีการทำบันทึกต่ออายุสัญญาครั้งที่ ๖ แต่ตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๑๖ ปรากฏว่า หลังจากวันครบกำหนดอายุสัญญาวันที่ ๑๒ กันยายน๒๕๓๒ โจทก์ยังยอมให้จำเลยที่ ๑ เบิกถอนเงินออกจากบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีเป็นการเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อมาอีก จึงถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงกันให้สัญญาบัญชีเดินสะพัดดังกล่าวยังมีผลต่อไปอีกโดยไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดสัญญา ต่อมาในวันที่๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอีกฉบับหนึ่งเป็นฉบับที่ ๒ วงเงิน ๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๗ โดยให้มีการเดินสะพัดทางบัญชีกันในบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๑๖ เช่นเดียวกับสัญญาฉบับแรก กำหนดวันสิ้นสุดสัญญาวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ และต่อมาวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน๒๕๓๒ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงทำบันทึกต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกเป็นลายลักษณ์อักษรโดยกำหนดวันสิ้นสุดสัญญาวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ เช่นเดียวกับสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่ ๒ ดังกล่าวแล้ว ดังนี้แสดงให้เห็นได้ว่า ตั้งแต่วันที่ ๒๘พฤศจิกายน ๒๕๓๒ เป็นต้นไป โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงเดินสะพัดตามบัญชีเดินสะพัดคือบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๑๖ โดยถือเงื่อนไขตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกวงเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท และสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่ ๒ วงเงิน๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งการคิดดอกเบี้ยต้องนำยอดหนี้ตามวงเงินของสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแต่ละฉบับมาคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ตกลงกันในแต่ละสัญญาแยกกันก่อนแล้วจึงนำดอกเบี้ยมารวมยอดกันเพื่อทบเป็นต้นเงินใหม่ได้ จึงต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแต่ละฉบับในอัตราเท่าใด สำหรับสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรก แม้ขณะเริ่มต้นทำสัญญาในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๖ จะตกลงอัตราดอกเบี้ยไว้ร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี โดยไม่มีข้อสัญญาให้โจทก์คิดปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเองได้ แต่ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๒๙ เอกสารหมาย จ.๑๘ (ฉบับที่ ๑) กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี และตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๑๖ ก็ปรากฏว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวโจทก์คิดดอกเบี้ยโดยระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ชัดเจนในเอกสารหมาย จ.๑๖ เป็นร้อยละ ๑๕ ต่อปี ต่อมาก็ระบุอัตราดอกเบี้ยลดลงเป็นร้อยละ ๑๔ ต่อปีบ้าง ร้อยละ ๑๓.๕ ต่อปีบ้าง ส่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงแก้ไขอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกเพื่อไม่ให้เกินอัตราตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บได้ในแต่ละช่วงระยะเวลา ดังนี้ตามบันทึกต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกเป็นครั้งที่ ๖ ที่ระบุให้ถือข้อตกลงตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเดิมจึงย่อมหมายถึงข้อตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยตามที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขกันแล้วด้วย มิใช่หมายถึงอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี ขณะทำสัญญาครั้งแรก เพราะขณะที่มีการตกลงต่ออายุสัญญานั้น โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนดไว้ ซึ่งตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเท่าที่โจทก์อ้างส่งเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ตามเอกสารหมาย จ.๑๘ (ฉบับที่ ๑) กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๙เป็นต้นไป และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย จ.๑๘ (ฉบับที่ ๒)ให้เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๓ เป็นต้นไปแสดงว่าในช่วงตั้งแต่วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๙ ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๒ ที่มีการทำบันทึกต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกเป็นครั้งที่ ๖ โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี จึงน่าจะตกลงอัตราดอกเบี้ยกันเพียงร้อยละ ๑๕ ต่อปีเท่านั้น ส่วนที่ตามบันทึกต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครั้งที่ ๖ เอกสารหมาย จ.๖(แผ่นสุดท้าย) ระบุว่าจำเลยที่ ๑ ยอมรับว่า ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ จำเลยที่ ๑ มีหนี้ต่อโจทก์จำนวน ๕,๐๘๔,๖๖๔.๓๗ บาท นั้น ปรากฏตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๑๖ ว่า หนี้จำนวนดังกล่าวเกิดจากต้นเงินที่จำเลยที่ ๑ เบิกถอนไปกับนำเงินเข้าบัญชีหักทอนหนี้ในช่วงระหว่างวันที่ ๒๘ ถึง ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๒เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าเป็นหนี้เกี่ยวกับดอกเบี้ยรวมอยู่ด้วย จึงมิใช่เหตุผลแสดงถึงข้อตกลงอัตราดอกเบี้ยให้คิดเกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานดังกล่าวมาข้างต้นเป็นเหตุผลให้ฟังได้ว่า ในการต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกดังกล่าว โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงให้ถือตามข้อตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ปรับปรุงแก้ไขกันมาแล้วเป็นอัตราไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี ซึ่งเท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ที่ระบุไว้ในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่ ๒ ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงถือได้ว่านับแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ เป็นต้นไป โจทก์ตกลงคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ ๑ ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้งสองฉบับอัตราไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปีแม้ต่อมาก่อนจะถึงวันสิ้นสุดสัญญาวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีเป็นร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๓ เป็นต้นไปก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยที่ ๑ ตกลงให้โจทก์แก้ไขข้อสัญญาให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้น ทั้งตามคำฟ้องโจทก์ยังระบุว่าโจทก์คิดอัตราดอกเบี้ยถึงร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะเป็นอัตราที่สูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนดให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกซึ่งได้ตกลงต่ออายุออกไปดังกล่าวมาข้างต้นในอัตราไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามที่ตกลงกันไว้ในขณะต่ออายุสัญญาดังกล่าวแล้วเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่ ๒แม้สัญญาฉบับนี้จะมีข้อสัญญาให้สิทธิโจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยได้ แต่ก็มีเงื่อนไขว่าโจทก์ต้องแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบด้วย และข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาโดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า โจทก์มิได้แจ้งว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มให้จำเลยที่ ๑ ทราบ ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเกินกว่าอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามที่ตกลงกันไว้ดังกล่าวแล้วได้ โจทก์คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นตามข้อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้งสองฉบับนับแต่วันที่ ๒๘พฤศจิกายน ๒๕๓๒ จนถึงวันครบกำหนดสัญญาวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ ได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี และเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาดังกล่าวแล้วจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไม่ทบต้นต่อไปในอัตราเดิมไม่เกินร้อยละ๑๕ ต่อปี เช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ วินิจฉัยเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยว่าโจทก์มีสิทธิคิดได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ กลับพิพากษายกฟ้องเพราะยากที่ศาลจะคิดคำนวณยอดหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกต้องตามที่วินิจฉัยมาแล้วได้นั้นศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับคดีนี้มีปัญหาเฉพาะการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยที่ใช้ในการคิดยอดหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ต้องชำระแก่โจทก์ และตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมายจ.๑๖ ปรากฏว่า ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ จำเลยที่ ๑ นำเงินเข้าบัญชีหักชำระหนี้หมดแล้วจึงเบิกถอนเงินออกไปใหม่อีกในวันเดียวกัน จึงมีปัญหาคิดดอกเบี้ยจากยอดหนี้ที่เบิกถอนออกไปใหม่นับแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ เป็นต้นไปเท่านั้นซึ่งยังพอที่ศาลจะพิพากษากำหนดวิธีการคิดยอดหนี้เฉพาะดอกเบี้ยตามอัตราที่ถูกต้องได้โดยไม่ต้องคิดคำนวณเป็นตัวเลขออกมา เพราะสามารถที่จะคิดคำนวณตัวเลขให้ถูกต้องกันต่อไปในชั้นบังคับคดีได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายกฟ้องด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ตามสิทธิที่โจทก์ควรได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้และบังคับจำนองทรัพย์จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาจำนองเสียให้ถูกต้อง
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีแก่โจทก์ โดยในส่วนต้นเงินที่จำเลยที่ ๑ เบิกถอนออกจากบัญชีไปและเงินที่จำเลยที่ ๑นำเข้าบัญชีหักลดหนี้ให้คิดหักลดตามรายการต่าง ๆ ที่ปรากฏในบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๑๖ แต่ในส่วนดอกเบี้ยที่นำมาคิดทบต้นในแต่ละเดือนจากต้นเงินยอดที่จำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้ในรายการต่าง ๆ แต่ละเดือนนับแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน๒๕๓๒ ถึงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ต่อปี แต่ถ้าช่วงใดของระยะเวลาดังกล่าวโจทก์ได้คิดดอกเบี้ยลงบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๑๖ ไว้ในอัตราต่ำกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปี ให้คิดตามอัตราที่คิดไว้จริงเมื่อคิดหนี้ต้นเงินที่ค้างชำระและดอกเบี้ยทบต้นดังกล่าวแล้วนำมารวมเป็นยอดหนี้ ณวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ ได้เป็นจำนวนเท่าใดให้ถือเป็นต้นเงินที่จำเลยที่ ๑ ต้องชำระแก่โจทก์ (แต่ต้องไม่เกินจำนวน ๖,๔๕๐,๐๗๓.๕๔ บาท ตามฟ้อง) และให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวโดยคิดไม่ทบต้นในอัตราร้อยละ ๑๕ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์(แต่ยอดหนี้ถึงวันฟ้องต้องไม่เกินจำนวน ๑๒,๓๐๙,๒๑๔.๓๒ บาท ตามฟ้อง) และให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยแก่โจทก์จำนวน ๑๒,๖๘๒.๘๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน ๑๐,๕๒๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีแก่โจทก์จำนวน ๔,๙๕๑,๒๖๙.๖๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๓ จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ถ้าไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินตาม น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๐, ๒๑ และ ๒๒ ตำบลบางหมาก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวและที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๑๑๖ ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับคดีจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองต่อไปจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้เท่าที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดครบถ้วน.

Share