คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ตัดหน้ารถที่ ว. ขับในระยะกระชั้นชิดในขณะที่ ว. ก็ขับรถผ่านทางร่วมทางแยกมาด้วยความเร็วสูงจนไม่อาจหยุดรถได้ทันเป็นเหตุให้รถ ว. เฉี่ยว ชนรถจำเลยที่ 1เช่นนี้ถือได้ว่า ว. มีส่วนประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดเหตุรถชนกันให้ได้รับความเสียหายไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ 1จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้.

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษากับคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่งของศาลชั้นต้นแต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกาคงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้ ให้เรียกโจทก์ในคดีนี้ว่า โจทก์ที่ 1
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ง-4055 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองและขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ง-1086 กรุงเทพมหานครโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2526นายวิทย์ วุฒิพุธนันท์ ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ง-4055กรุงเทพมหานครไปด้วยความระมัดระวังขณะผ่านสามแยกท่าพระ จำเลยที่ 1ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ง-1086 กรุงเทพมหานคร ด้วยความเร็วแซงรถของนายวิทย์แล้วเปลี่ยนช่องทางเดินรถตัดหน้ารถยนต์คันที่นายวิทย์ขับโดยกระทันหันและกระชั้นชิด สุดวิสัยที่นายวิทย์จะหยุดหรือหลบหลีก เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถยนต์คันนายวิทย์ขับเสียหลักพุ่งชนเสาไฟสัญญาณจราจรได้รับความเสียหายโจทก์ต้องจ่ายค่าเสียหายไปเป็นเงิน 120,514 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองชำระ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ง-1086 กรุงเทพมหานคร ไว้จากจำเลยที่ 1 จริงจำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย ไม่แจ้งเหตุแก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิด อย่างไรก็ตาม เหตุที่เกิดเป็นความประมาทของนายวิทย์ที่ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงแล้วเสียหลักแฉลบเข้าเฉี่ยวชนรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับ ค่าซ่อมรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ง-4055 กรุงเทพมหานคร อย่างมากไม่เกิน40,000 บาท ค่ายกรถไม่เกิน 500 บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 และยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 2 โดยตลอดแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่27 เมษายน 2526 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา นายวิทย์ วุฒิพุธนันท์ได้ขับรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน 8ง-4055 กรุงเทพมหานคร จากวงเวียนใหญ่จะไปบางแคไปตามถนนเพชรเกษมในช่องเดินรถที่ 3 จำเลยที่ 1ขับรถไปในทิศทางเดียวกันอยู่ในช่องเดินรถที่ 2 เมื่อถึงสามแยกท่าพระ จำเลยที่ 1 จอดรถรอไฟสัญญาณจราจรไฟเขียว พอดีรถที่นายวิทย์ขับมาถึงสามแยกดังกล่าวได้ไฟสัญญาณจราจรไฟเขียว รถที่นายวิทย์ขับชะลอความเร็วลงแล้วเข้าไปในสามแยก รถที่นายวิทย์ขับได้เฉี่ยวชนกับรถจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่นายวิทย์ขับ ตามกรมธรรม์เอกสารหมาย จ.4 ได้ชำระค่าซ่อมรถที่เอาประกันภัยเป็นเงิน 119,314บาท ตามใบสั่งจ่ายเอกสารหมาย จ.8 และค่าจ้างยกรถเป็นเงิน 1,200 บาทตามใบรับและใบเสร็จรับเงิน เอกสารหมาย จ.10 จ.11 และ จ.12 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ง-1086กรุงเทพมหานคร ที่ จำเลยที่ 1 เอาประกันภัยไว้ได้ชำระค่าซ่อมรถยนต์ที่เอาประกันภัยเป็นเงิน 6,450 บาท ตามบิลเงินสด เอกสารหมาย ล.4แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 ว่า นายวิทย์ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ง-4055 กรุงเทพมหานคร ที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ได้ประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ โจทก์ที่ 1 มีนายวิทย์วุฒิพุธนันท์ เป็นพยานเบิกความว่า รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน8ง-4055 กรุงเทพมหานคร เป็นของบริษัทฟิลิปป์บราเธอร์ส จำกัดขณะเกิดเหตุพยานขับรถคันดังกล่าวจากวงเวียนใหญ่จะไปบางแคไปตามถนนเพชรเกษมในช่องทางที่สาม ถนนว่างพยานจึงขับด้วยความเร็วประมาณ70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถึงที่เกิดเหตุมีสัญญาณจราจรไฟเขียวก่อนจะถึงทางแยก พยานชะลอความเร็วของรถลงเหลือ 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อถึงทางแยกรถจำเลยที่ 1 ได้ขับตัดหน้ารถพยานเปลี่ยนช่องทางไปทางขวา โดยจะเลี้ยวไปถนนจรัลสนิทวงศ์ในระยะกระชั้นชิดห่างประมาณ 10 เมตร พยานหักรถหลบแต่ไม่พ้นจึงเฉี่ยวชนรถคันดังกล่าวถูกตรงบริเวณประตูด้านหน้าขวาไปจดบังโคลนด้านหน้า หลังจากชนกันแล้วรถพยานเสียหลักไปทางด้านขวาชนเสาไฟสัญญาณจราจรและเสาไฟฟ้าข้างป้อมตำรวจ ทำให้รถที่พยานขับเสียหายตามภาพถ่ายที่ 1 หมาย จ.6 จ.14และ จ.15 ส่วนรถจำเลยที่ 1 เสียหายตามภาพถ่ายที่ 2 หมาย จ.6จ่าสิบตำรวจประกาศิต ใกล้บุญเลี้ยง พยานโจทก์ปากหนึ่งเบิกความว่าขณะเกิดเหตุพยานทำหน้าที่อยู่ที่ป้อมยามสามแยกท่าพระร่วมกับจ่าสิบตำรวจขจัด แก่นแก้ว สัญญาณไฟทางไปบางแคเปิดไฟเขียวรถจำเลยที่ 1 วิ่งจากวงเวียนใหญ่มาสามแยกท่าพระตามถนนเพชรเกษมในช่องทางเดินรถที่ 2 นับจากซ้ายมือโดยมีรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน8ง-4055 กรุงเทพมหานคร วิ่งตามมาในช่องทางเดินรถที่ 3 เมื่อมาถึงใกล้สามแยกรถจำเลยที่ 1 ได้เบนหัวจะเลี้ยวขวาขณะนั้นรถคันแรกอยู่ห่างจากรถคันหลังประมาณ 5-6 เมตร รถคันหลังหยุดไม่ทันจึงเกิดการเฉี่ยวชนกันขึ้น พยานลงมาดูที่เกิดเหตุทันที เห็นจุดชนอยู่ในช่องทางเดินรถที่ 3 รถคันแรกหยุดห่างจากจุดชนประมาณ 10 เมตรส่วนรถคันหลังเสียหลักไปทางขวามือชนเสาสัญญาณไฟจราจรและเสาไฟฟ้าปรากฎตามแผนที่เอกสารหมาย จ.13 ตรงที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้ามองเห็นได้ชัดเจน ร้อยตำรวจโทอุดม รุจิรชากร พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่าขณะเกิดเหตุพยานทำหน้าที่นายร้อยเวรสถานีตำรวจนครบาลท่าพระ พยานขับรถจักรยานยนต์ออกตรวจเลยสามแยกท่าพระไปนิดเดียวก็ได้ยินเสียงรถชนกันพยานจึงกลับรถย้อนกลับมาดู พยานสอบถามคู่กรณีได้ความว่า จำเลยที่ 1 ขับรถเลยสัญญาณไฟเล็กน้อยได้เบนหัวมาทางขวาในช่องเดินรถที่ 2 นายวิทย์ขับรถมาในทิศทางเดียวกันในช่องทางเดินรถที่ 3 เมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 เบนมาทางขวาในระยะกระชั้นชิดจึงเกิดการเฉี่ยวชนกัน พยานได้บันทึกไว้ตามภาพถ่ายรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสารหมาย จ.16 แผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.13 ถูกต้อง เศษสีและวัสดุที่เกิดจากการชนตกอยู่บริเวณสามแยกในช่องทางเดินรถช่องที่ 2 และช่องที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 2 มีนายอัครเดช แลดูขำ เป็นพยานเบิกความว่า พยานนั่งไปในรถจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ขับรถจากวงเวียนใหญ่จะไปบางแคเพื่อไปส่งคู่รักของจำเลยที่ 1 ก่อนถึงสามแยกท่าพระ จำเลยที่ 1 อยู่ในช่องเดินรถที่ 2 ไม่ได้เปลี่ยนช่องทางเดินรถเมื่อขับเลยเสาสัญญาณไฟจราจรพยานได้ยินเสียงรถนายวิทย์เบรก จึงหันไปดูทางขวามือ รถของนายวิทย์ได้เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 1 ตรงประตูหน้าด้านขวาและมีรอยถากทางประตูด้านหลัง นายสมศักดิ์ เลาหรังสิมา พยานจำเลยอีกปากหนึ่งเบิกความว่าพยานค้าขายพวงมาลัยอยู่ที่สามแยกท่าพระโดยยืนอยู่ตรงเกาะกลางถนนเลยเสาสัญญาณไฟจราจรที่รถโจทก์ชน บริเวณนั้นมีไฟฟ้าสว่างมองเห็นได้ชัดเจน พยานมองไปทางวงเวียนใหญ่เห็นรถจำเลยที่ 1 วิ่งมาในช่องทางเดินรถที่ 2 ทางซ้ายมือ รถของนายวิทย์วิ่งตามหลังมาในช่องทางเดินรถที่ 3 ด้วยความเร็ว พยานได้ยินเสียงรถนายวิทย์เบรกแล้วพุ่งชนรถจำเลยที่ 1 รถนายวิทย์เสียหลักวิ่งไปชนเสาไฟสัญญาณจราจรและเสาไฟฟ้า พยานกระโดดหลบ ส่วนรถจำเลยที่ 1 วิ่งเลยสัญญาณไฟจราจรไปเล็กน้อย จอดอยู่ในช่องทางเดินรถที่ 2 พยานไม่เห็นรถจำเลยที่ 1 จะเลี้ยวไปทางสถานีขนส่งสายใต้แต่รถนายวิทย์หักเลี้ยวซ้ายไปชนรถจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาเห็นว่า จ่าสิบตำรวจประกาศิตและร้อยตำรวจตรีอุดมเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกระทำการตามหน้าที่ย่อมเบิกความไปตามที่รู้เห็นเหตุการณ์ เชื่อว่าเบิกความตามจริงพยานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ตัดหน้ารถที่นายวิทย์ขับในระยะกระชั้นชิด แต่ในขณะที่นายวิทย์ขับรถผ่านสามแยกท่าพระซึ่งเป็นทางร่วมทางแยก แม้นายวิทย์ลดอัตราความเร็วของรถลงแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในอัตราความเร็วสูงมากไม่อาจหลีกเลี่ยงภยันตรายที่เกิดจากการชนกันได้ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อรถนายวิทย์เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 1 แล้ว รถนายวิทย์เสียหลักวิ่งไปชนเสาสัญญาณไฟจราจรข้างหน้าและเสาไฟฟ้าริมถนนหลังป้อมยามตำรวจเป็นระยะถึงประมาณ 20เมตร ตามแผนที่เอกสารตาม จ.13 และภาพถ่ายหมาย จ.14, จ.15แสดงว่ารถนายวิทย์ขับมาด้วยความเร็วสูงมากและเห็นรถจำเลยที่ 1อยู่ข้างหน้าด้านซ้ายมือแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 เบนหัวรถมาทางขวาแม้จะเป็นช่องทางเดินรถที่ตรงไป นายวิทย์ก็ไม่อาจหยุดรถได้ทันลักษณะเช่นนี้ถือได้ว่านายวิทย์มีส่วนประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดเหตุรถชนกันให้ได้รับความเสียหายไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยที่ 1โจทก์ที่ 1 จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้ จำเลยทั้งสองไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1…”
พิพากษายืน.

Share