แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ว่าข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 แผ่นที่ 3 ระหว่าง ค. กับจำเลยเป็นการตกลงกันเฉพาะค่าเสียหายในส่วนของผลไม้ที่ ค. บรรทุกไปในรถยนต์กระบะเท่านั้นไม่เกี่ยวกับค่าเสียหายของตัวรถยนต์ที่ ค. เอาประกันไว้แก่โจทก์แต่อย่างใด เป็นการนำสืบว่า ค. และจำเลยมีการตกลงกันอย่างไร มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารหมาย จ.5 ที่ต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 (ข)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 165,956 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 159,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 165,956 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 159,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง ( ฟ้องวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บบ 4007 จันทบุรี ไว้จากนายควรคิด ผู้เอาประกันภัย มีอายุการคุ้มครอง 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 นายควรคิดขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไปตามถนนสายวัฒนานคร – แซร์ออ จากอำเภอวัฒนานคร มุ่งหน้าไปแซร์ออ เมื่อถึงบริเวณบ้านหนองน้ำใส ตำบลช่องกุ่ม อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว จำเลยขับรถยนต์แล่นสวนทางมาโดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยได้รับความเสียหายและผลไม้ที่นายควรคิดบรรทุกไปในรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ก็ได้รับความเสียหายด้วย จำเลยและนายควรคิดตกลงกันต่อหน้าพนักงานสอบสวน ข้อตกลงมีใจความว่าจำเลยยอมรับผิดและยินยอมชดใช้ค่าเสียหาย 30,000 บาท แก่นายควรคิดโดยผ่อนชำระ 3 งวด งวดละ 10,000 บาท หลังจากนั้นโจทก์จัดการซ่อมแซมและส่งมอบรถคืนแก่นายควรคิดโดยมีค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงิน 159,000 บาท
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่โจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบอ้างว่า ข้อตกลงระหว่างนายควรคิดกับจำเลย เป็นค่าเสียหายเฉพาะส่วนของผลไม้ เป็นการนำสืบที่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ข) หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังเป็นยุติว่า นายควรคิดได้รับความเสียหายเป็น 2 ส่วน คือผลไม้ที่นายควรคิดบรรทุกไปเต็มคันรถกับรถยนต์ที่นายควรคิดประกันภัยไว้กับโจทก์ที่ได้รับความเสียหายอย่างมาก ค่าซ่อมแซมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่โจทก์ชำระไปเป็นเงิน 159,000 บาท ขณะเกิดเหตุรถยนต์ของนายควรคิดมีประกันภัยไว้กับโจทก์โดยมีทุนประกัน 250,000 บาท ซึ่งนายควรคิดเป็นผู้เอาประกันภัยไว้และย่อมทราบดีว่ารถยนต์ที่ได้ประกันภัยไว้นั้นโจทก์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในค่าซ่อมแซมนั้น กรณีจึงไม่น่าจะมีเหตุผลที่นายควรคิดจะเรียกร้องเอาค่าเสียหายส่วนที่เป็นค่าซ่อมแซมรถยนต์ที่ตนประกันภัยไว้กับโจทก์จากจำเลย แต่ค่าเสียหายเฉพาะในส่วนผลไม้ที่นายควรคิดบรรทุกมาเต็มคันรถนั้นไม่ปรากฏว่ามีการประกันภัยไว้ กรณีจึงน่าเชื่อตามที่นายควรคิดพยานโจทก์เบิกความยืนยันและร้อยตำรวจเอกประยุทธ พนักงานสอบสวนพยานโจทก์ก็เบิกความสนับสนุนว่า การตกลงเรื่องค่าเสียหายระหว่างนายควรคิดกับจำเลยนั้น เป็นข้อตกลงเฉพาะค่าเสียหายในส่วนของผลไม้ของนายควรคิดเท่านั้น พยานจำเลยเองก็มีจำเลยมาเบิกความปากเดียวว่า ค่าเสียหายกรณีรถยนต์ชนกันนายควรคิดตกลงยอมรับชดใช้จากจำเลยจำนวน 30,000 บาท ซึ่งหมายถึงค่าเสียหายเกี่ยวกับตัวรถยนต์กระบะที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งเห็นได้ว่าหากนายควรคิดจะตกลงกับจำเลยเกี่ยวกับค่าเสียหายในส่วนรถยนต์แล้วก็เห็นได้ชัดว่า เป็นจำนวนที่ต่ำมากเกินไป เพราะสภาพรถยนต์กระบะหลังจากชนกันตามที่ปรากฏในภาพถ่าย จำนวนหลายภาพนั้นได้รับความเสียหายอย่างมาก ค่าซ่อมแซมน่าจะเกินกว่า 100,000 บาท เมื่อรวมกับค่าเสียหายของผลไม้แล้วย่อมไม่สมเหตุผลที่นายควรคิดจะตกลงเรียกค่าเสียหายทั้งหมดจากจำเลยเพียง 30,000 บาท เท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย น่าเชื่อว่าข้อตกลงตามเอกสารระหว่างนายควรคิดกับจำเลยเป็นการตกลงกันเฉพาะค่าเสียหายในส่วนของผลไม้ที่นายควรคิดบรรทุกไปในรถยนต์กระบะเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับค่าเสียหายของตัวรถยนต์ที่นายควรคิดเอาประกันไว้แก่โจทก์แต่อย่างใด การที่โจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการนำสืบว่านายควรคิดและจำเลยมีการตกลงกันอย่างไร มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารที่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ข) ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยและเมื่อกรณีฟังได้ว่าข้อตกลงระหว่างนายควรคิดกับจำเลยตามเอกสาร เป็นการตกลงกันเรื่องค่าเสียหายเฉพาะส่วนของผลไม้เท่านั้นดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเกี่ยวกับรถยนต์กระบะของนายควรคิดที่มีต่อจำเลยจึงยังไม่ระงับไป โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยซึ่งได้จัดการซ่อมแซมและมอบรถคืนให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยเสียค่าใช้จ่ายไป 159,000 บาท ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท