แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อพยานโจทก์ที่นำสืบยังเป็นที่สงสัย เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และเนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 10 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายเสถียรที่ว่าไปแจ้งให้สิบตำรวจโทเขียนทราบว่าจำเลยที่ 2 จะนำเมทแอมเฟตามีนมาขายโดยให้สิบตำรวจโทเขียนติดตามไปในภายหลัง แต่ในคำให้การชั้นสอบสวนของนายเสถียรเอกสารหมาย จ.4 กลับให้การว่า เมื่อจำเลยทั้งสองกลับไปที่บ้านของนายเสถียรแล้ว นายเสถียรจึงไปแจ้งให้สิบตำรวจโทเขียนทราบ ซึ่งเป็นคำให้การที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเวลาและขั้นตอนในการที่นายเสถียรไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจที่ไม่ชัดเจนและสับสน นายเสถียรได้ให้การในชั้นสอบสวนเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2541 ซึ่งเป็นวันเวลาหลังเกิดเหตุคือวันที่ 14 มกราคม 2541นานประมาณ 2 เดือน โดยไม่มีเหตุแห่งการล่าช้า ตอนตอบคำถามค้านของทนายจำเลยนายเสถียรเบิกความว่า วันเกิดเหตุตนไปเล่นไฮโลว์อยู่ที่งานศพ จำเลยที่ 2 ไปร่วมเล่นด้วยแล้วชวนกลับมาที่บ้านของตนพบจำเลยที่ 1 อยู่ที่บ้าน จึงสั่งให้ภริยาไปซื้ออาหารมาจะร่วมรับประทานด้วยกัน พอดีมีเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามาจับกุม ซึ่งเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ตรงกับคำเบิกความของตนในตอนตอบคำซักถามของโจทก์ว่าตนเป็นผู้ไปบอกให้เจ้าพนักงานตำรวจมาจับกุมจำเลยทั้งสองที่บ้าน พยานโจทก์ปากนี้จึงไม่อยู่กับร่องกับรอยเป็นที่น่าสงสัย ส่วนพยานโจทก์ปากอื่น ๆ ที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจแม้จะเบิกความได้สอดคล้องกันหลังไปถึงที่เกิดเหตุ แต่ก่อนไปถึงที่เกิดเหตุมีเหตุระแวงสงสัยว่าได้ไปถึงที่เกิดเหตุได้อย่างไร เมื่อได้วิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น หากจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเมทแอมเฟตามีนไปขายให้แก่นายเสถียรจริง เมื่อขายได้แล้วก็ควรจะรีบกลับไป มิใช่นอนรออยู่ที่แปลแขวนโดยไม่มีเหตุผล และโดยปกติผู้เป็นเจ้าของสิ่งผิดกฎหมายก็ควรจะวางเมทแอมเฟตามีนไว้ในที่มิดชิดมิใช่นำมาวางไว้โดยเปิดเผยอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ เพราะอาจถูกจับกุมได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับคำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่ให้การปฏิเสธโดยตลอดแล้ว เห็นว่า พยานโจทก์ที่นำสืบยังเป็นที่สงสัยเห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น และเนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสอง แต่ให้ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง