แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญาซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไคโตซานและวางเงินจำนวน 200,000 บาท แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา โดยสัญญาข้อ 4 ระบุว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องขอใบอนุญาตขึ้นทะเบียนการใช้ฉลากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้แก่โจทก์ แต่ไม่ได้กำหนดเวลาว่าจำเลยต้องขอใบอนุญาตให้แล้วเสร็จเมื่อใด จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องขอใบอนุญาตดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยพลันตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยโดยไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาภายในเวลาที่โจทก์กำหนดเสียก่อน จึงไม่เป็นผลให้สัญญาระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 ทั้งหลังจากโจทก์บอกเลิกสัญญาเพียงสิบวัน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็ออกใบสำคัญการใช้ฉลากอาหารให้แก่โจทก์แล้ว การกระทำของโจทก์จึงเป็นการบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามสัญญาและมีผลให้โจทก์ตกเป็นผู้ผิดสัญญา การที่จำเลยมีหนังสือตอบกลับไปยังโจทก์ว่า จำเลยตกลงสนองรับการบอกเลิกสัญญาโดยไม่ยอมคืนเงินจำนวน 200,000 บาท ให้ เนื่องจากโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่เป็นจำนวนมากนั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกลงเลิกสัญญาโดยไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการที่จำเลยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์ อันเป็นผลมาจากการที่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาเสียก่อน เมื่อโจทก์มอบเงินให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาจึงมีผลเป็นมัดจำ จำเลยย่อมริบเงินจำนวนดังกล่าวนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 378 (2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 288,750 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้ง ขอให้บังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยจำนวน 290,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 กันยายน 2542 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2548 และดอกเบี้ยอัตราเดียวกันนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 88,750 บาท ตามที่โจทก์ขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไคโตซานจากจำเลย โจทก์ได้วางเงินจำนวน 200,000 บาท ไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา ทั้งนี้ โจทก์กับจำเลยตกลงกันว่าเมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง หรือคู่กรณีตกลงเลิกสัญญาจำเลยต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ นอกจากนี้จำเลยยังตกลงว่าจำเลยมีหน้าที่ขอใบอนุญาตขึ้นทะเบียนการใช้ฉลากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้แก่โจทก์ ตามสัญญาซื้อขาย
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยต้องคืนเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามที่จำเลยฎีกาหรือไม่ ศาลฎีกาได้ตรวจดูสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมระหว่างโจทก์กับจำเลย เห็นว่า แม้ข้อ 4 ในสัญญาฉบับนั้น จะระบุว่าจำเลยมีหน้าที่ขอใบอนุญาตขึ้นทะเบียนการใช้ฉลากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่มิได้กำหนดเวลาว่าจำเลยต้องขอใบอนุญาตให้แล้วเสร็จเมื่อใด จึงต้องถือว่าจำเลยมีหน้าที่ไปติดต่อขอใบอนุญาตให้แก่โจทก์โดยพลัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 203 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตามปัญหาว่าหนี้ที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ถึงกำหนดชำระเมื่อไรเป็นคนละเรื่องกันกับปัญหาที่ว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 บัญญัติว่า “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้ อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้” เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า สัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยมิได้กำหนดเงื่อนเวลาที่จำเลยต้องขอใบอนุญาตขึ้นทะเบียนการใช้ฉลากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมให้แก่โจทก์ หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญากับจำเลย โจทก์ย่อมมีหน้าที่ปฏิบัติให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 กล่าวคือ โจทก์ต้องบอกกล่าวให้จำเลยยื่นคำขอใบอนุญาตต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาภายในเวลาที่โจทก์กำหนด หากจำเลยยังเพิกเฉยไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว โจทก์จึงจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยโดยมิได้บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาภายในเวลาที่โจทก์กำหนดเสียก่อน จึงขัดแย้งกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด การบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่เป็นผลให้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับสิ้นไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า หลังจากที่โจทก์บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยแล้ว จำเลยได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยตกลงเลิกสัญญาด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงมีความเห็นว่า จำเลยแสดงเจตนาสนองรับการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ ซึ่งเป็นผลให้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลงนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เพราะหนังสือที่จำเลยมีไปถึงโจทก์มีข้อความระบุชัดว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา แม้จะมีข้อความบางตอนมีใจความว่าจำเลยตกลงสนองรับการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ แต่ก็มีข้อความในตอนต่อมาว่าจำเลยไม่ยินยอมคืนเงินจำนวน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์เนื่องจากโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยตกลงเลิกสัญญากับโจทก์โดยไม่มีเงื่อนไขอันเป็นผลให้สัญญาซื้อขายระงับไป ตรงกันข้ามการที่โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 7 กันยายน 2542 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย ทั้งที่หลังจากนั้นอีกเพียงสิบวันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็ออกใบสำคัญการใช้ฉลากอาหารให้แก่จำเลยแล้วจึงเป็นการบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามสัญญาของโจทก์ อันเป็นการผิดสัญญาดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย อนึ่ง การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์จะให้นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง ดังนั้น การที่จำเลยมีหนังสือไปถึงโจทก์ตอบรับว่าจำเลยตกลงเลิกสัญญาด้วย แต่ขอริบเงิน 200,000 บาท ที่โจทก์วางเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์อันเป็นผลมาจากการที่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ซึ่งจำเลยชอบที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาเสียก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นอันเลิกกัน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า เมื่อสัญญาเลิกกันแล้วโจทก์กับจำเลยต่างต้องยอมให้แต่ละฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลย ข้อ 7 จะระบุว่าโจทก์วางเงิน 200,000 บาท ไว้แก่จำเลยเป็นค่าค้ำประกันสัญญาก็ตามแต่เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 377 บัญญัติว่า “เมื่อเข้าทำสัญญาถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว อนึ่ง มัดจำนี้ย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย” จึงเห็นได้ว่าเงิน 200,000 บาท ที่โจทก์มอบให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาเป็นค่าค้ำประกันสัญญาย่อมเป็นประกันการที่โจทก์ต้องปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวด้วย อันมีผลเป็นมัดจำตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์เพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยย่อมริบเงินจำนวนนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378 ที่บัญญัติว่า “มัดจำนั้นถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นท่านให้เป็นไปดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) …
(2) ให้ริบถ้าฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้… หรือถ้ามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝ่ายนั้น…” ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ