คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3935/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีดังกล่าวตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 7(1),8 โจทก์มิได้กล่าวในคำฟ้องว่า การที่เจ้าพนักงานของกรมศุลกากรจำเลยตรวจสอบราคาสินค้าของโจทก์แล้วสั่งให้โจทก์เพิ่มราคา มิใช่เป็นการประเมินภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร เมื่อโจทก์ยกข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลภาษีอากรกลางศาลฎีกาไม่เห็นสมควรวินิจฉัยให้ จำเลยประเมินราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าโดยเปรียบเทียบกับราคาสินค้าของผู้นำเข้ารายอื่น แต่สินค้าของผู้นำเข้ารายอื่นนั้นเป็นของคนละประเภทต่างพิกัดประเภทย่อยกับสินค้าของโจทก์ และระยะเวลาที่นำของเข้าก็แตกต่างกันมาก ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในความหมายของคำว่า “ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด” ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2 วรรคสิบสอง ราคาของที่เจ้าพนักงานของจำเลยประเมินเพิ่มขึ้นจึงไม่อาจถือว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดการประเมินจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อกระสุนปืน ชนิดและขนาดต่าง ๆเครื่องหมายการค้า “วินเชสเตอร์” จากบริษัทโอลินอินดัสเตรียล (ฮ่องกง) จำกัด มีสำนักงานขาย ณเมืองฮ่องกง รวม 3 เที่ยว โจทก์สำแดงราคาสินค้าเท่าที่ซื้อมาลงในใบขนสินค้ายื่นขอเสียภาษีอากรต่อจำเลยเพื่อจะนำของออกเจ้าพนักงานของจำเลยโต้แย้งว่าราคาสินค้าที่โจทก์ซื้อมาและสำแดงไว้ในใบขนสินค้าต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด เจ้าพนักงานของจำเลยให้โจทก์เพิ่มราคาสินค้าตามใบขนสินค้าทั้ง 3 ฉบับ ทำให้โจทก์ต้องเสียเงินเป็นค่าอากรขาเข้าเพิ่ม 301,940 บาท ภาษีการค้าเพิ่ม 121,636 บาท ภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่ม 12,162 บาท รวมเป็นเงินค่าภาษีอากรเพิ่มที่โจทก์ฟ้องเรียกคืน 435,741 บาท การที่โจทก์ปฏิบัติพิธีการศุลกากรเสียภาษีอากรจนเป็นที่พอใจของเจ้าพนักงานของจำเลย เป็นพิธีการปฏิบัติเพื่อนำของออกจากศุลกากรตามพระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 40 แต่โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับการเพิ่มราคาสินค้าของเจ้าพนักงานของจำเลย จึงได้บันทึกสงวนสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งไว้ที่ด้านหลังใบขนสินค้าทุกฉบับและต่อมาโจทก์ได้ยื่นหนังสืออุทธรณ์การเพิ่มราคาสินค้าต่อจำเลย ต่อมาจำเลยได้มีหนังสือแจ้งผลการอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยชอบแล้ว ยกเว้นของตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 081-41020 จำเลยเปลี่ยนแปลงราคาประเมินใหม่เล็กน้อยทำให้โจทก์ได้รับเงินคืนเพียง 337 บาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดการประเมินโดยให้โจทก์เพิ่มราคาสินค้าของจำเลยไม่ชอบ ให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ 435,741 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระคืนแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า การประเมินราคาสินค้าที่จำเลยสั่งให้เพิ่มราคาชอบด้วยกฎหมายแล้ว นอกจากนี้คำอุทธรณ์ของโจทก์ เป็นเพียงอุทธรณ์เกี่ยวกับราคาของเท่านั้น มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีการค้า จำนวน 121,636 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล จำนวน12,162 บาท ซึ่งโจทก์ได้ชำระเพิ่มไว้แล้วต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินให้ชำระภาษีอากรเพิ่มการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลจึงเป็นอันยุติ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยคืนภาษีส่วนนี้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินเฉพาะอากรขาเข้าที่เรียกเก็บมาสำหรับใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเลขที่ 051-40190, 051-43004 และ 081-41020 รวม 3 ใบขนให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้โจทก์เสร็จ คำขออื่นให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่ม ปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงยุติว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินภาษีดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 30 โจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องคดีเกี่ยวกับภาษีส่วนนี้ได้ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7(1),8 อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์มาด้วยว่า การที่เจ้าพนักงานของจำเลยตรวจสอบราคาสินค้าของโจทก์แล้วสั่งให้โจทก์เพิ่มราคาขึ้นเช่นนี้มิใช่เป็นการประเมินภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรนั้นในข้อนี้โจทก์มิได้กล่าวไว้ในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลภาษีอากรกลาง ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรที่จะวินิจฉัยให้
คดีคงมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ราคาของที่เจ้าพนักงานของจำเลยประเมินเพิ่มขึ้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดหรือไม่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ราคาของที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนตามฟ้องทุกฉบับนั้น เป็นราคาที่ตกลงซื้อขายกันจริงระหว่างโจทก์กับบริษัทผู้จำหน่ายในต่างประเทศ และโจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าตามใบขนทุกฉบับดังกล่าวให้แก่บริษัทผู้จำหน่ายในต่างประเทศโดยผ่านธนาคาร ราคาของที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนทุกฉบับตามฟ้องจึงเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด
จำเลยนำสืบว่า ราคาของที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนที่เป็นปัญหานั้น โจทก์สำแดงราคาไว้ต่ำกว่าผู้นำเข้ารายอื่นที่นำเข้าของประเภทและชนิดเดียวกันจากบริษัทผู้จำหน่ายในต่างประเทศรายเดียวกัน เจ้าพนักงานของจำเลยจึงได้ประเมินราคาใหม่ให้ใกล้เคียงกับราคาอันแท้จริงในท้องตลาด
พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีนางนิภาภรณ์ ดุลยภีระดิส ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบทำพิธีการออกของจากกรมศุลกากรแทนโจทก์และเป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์ในคดีนี้มาเบิกความว่า ของที่เป็นปัญหาในเรื่องราคาอันแท้จริงในท้องตลาดคือสินค้าตามใบขนเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 143 แผ่นที่ 118 และแผ่นที่ 2 ซึ่งราคาของที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวนั้นเป็นราคาที่โจทก์ได้ตกลงซื้อขายกับบริษัทผู้จำหน่ายในต่างประเทศจริง และได้มีการชำระเงินกันโดยผ่านทางธนาคารตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 2, 4 และ 6 ตามลำดับจำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าราคาของที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนนั้น โจทก์และบริษัทผู้จำหน่ายในต่างประเทศได้สมยอมกันกำหนดราคาให้ต่ำกว่าที่เป็นจริงจำเลยคงมีแต่นางอนงค์ลักษณ์ รัชตวาสน์ เจ้าหน้าที่ประเมินอากรมาเบิกความว่าพยานได้นำหลักฐานการนำเข้าของผู้นำเข้ารายอื่นตามเอกสารหมายล.1 แผ่นที่ 162-181 มาเปรียบเทียบกับราคาของตามใบขนของโจทก์พบว่าโจทก์สำแดงราคาไว้ต่ำกว่าผู้นำเข้ารายอื่น ๆ ซึ่งความข้อนี้เมื่อได้พิจารณาเอกสารที่โจทก์นำเข้าและเอกสารที่นางอนงค์ลักษณ์นำมาเปรียบเทียบราคาแล้ว ปรากฏว่าเอกสารที่นางอนงค์ลักษณ์นำมาเปรียบเทียบราคาคงมีแต่ใบขนตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่162 และแผ่นที่ 175 แต่ตามใบขนของโจทก์ทั้ง 3 ฉบับนั้น เป็นการนำเข้าเมื่อปี 2531 และทุกฉบับระบุว่าเป็นของในพิกัดประเภทย่อยที่9306.30 แต่ของตามใบขนของผู้นำเข้ารายอื่นที่นางอนงค์ลักษณ์นำมาเปรียบเทียบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามใบขนเอกสารหมาย ล.1แผ่นที่ 162 ระบุไว้ชัดแจ้งว่า นำเข้าเมื่อปี 2529 ซึ่งมีระยะห่างกันเกือบ 2 ปี ส่วนของตามใบขนเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 175 นั้นถึงแม้จะนำเข้าในปี 2531 เช่นเดียวกับของพิพาทที่โจทก์นำเข้ามาในคดีนี้ก็ตาม แต่ก็เป็นของในพิกัดประเภทย่อยที่ 9306.21 ซึ่งต่างพิกัดประเภทย่อยกับของที่โจทก์นำเข้าตามใบขนทุกฉบับที่ระบุว่าเป็นของในพิกัดประเภทย่อยที่ 9306.30 ดังนั้น จึงนำราคาของตามใบขนที่นางอนงค์ลักษณ์พยานจำเลยเบิกความถึงมาเปรียบเทียบเพื่อหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของของที่โจทก์นำเข้าไม่ได้ เพราะของที่นำมาเปรียบเทียบราคากันนั้นเป็นของคนละประเภทต่างพิกัดประเภทย่อยกันและระยะเวลาที่นำของเข้าก็แตกต่างกันมาก จึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในความหมายของคำว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 2 วรรคสิบสอง ราคาของที่เจ้าพนักงานของจำเลยประเมินเพิ่มขึ้นจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด การที่เจ้าพนักงานของจำเลยประเมินราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าเพิ่มขึ้นจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share