คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3104/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยบังคับขู่เข็ญพาผู้เสียหายไปและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ที่ผู้เสียหายอ้างว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้จึงไม่มีเหตุผล ปัญหานี้แม้จะไม่มีประเด็นขึ้นสู่ศาลฎีกาโดยตรง เพราะข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก1 ปี อันต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218ก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังเสียแล้วจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย การที่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยลักษณะที่ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตาม ป.อ. บัญญัติเป็นความผิดทั้งสิ้น หากแต่กำหนดโทษหนักเบาต่างกันเท่านั้น กล่าวคือเมื่อผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยก็เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 318วรรคท้าย ทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 319 ศาลย่อมปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่าได้มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,276, 284, 310, 318 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3, 4, 9 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังให้จำคุก 1 ปี และผิดตามมาตรา 318ฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากผู้ปกครองดูแลเพื่อการอนาจาร ให้จำคุก9 ปี กับมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา 276 ให้จำคุก 10 ปีรวมเป็นจำคุกจำเลยมีกำหนด 20 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ข้อหาพรากผู้เยาว์ให้จำคุก 6 ปีข้อหาข่มขืนกระทำชำเราให้จำคุก 6 ปี เมื่อรวมกับโทษข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังอีก 1 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น รวมเป็นจำคุกทั้งสิ้นมีกำหนด 13 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังได้ว่า… ผู้เสียหายไปเรียนเสริมสวยประเภทไปเช้าเย็นกลับ วันที่ 14 กรกฎาคม 2529 ผู้เสียหายไปเรียนเสริมสวยแล้วไม่กลับบ้านตามปกติ มากลับเอาเมื่อเวลา 17 นาฬิกาเศษของวันที่16 กรกฎาคม 2529 มีปัญหาข้อแรกว่า จำเลยพาตัวผู้เสียหายไปตามฟ้องหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความว่า เมื่อวันที่ 14กรกฎาคม 2529 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา หลังจากเลิกเรียนแล้ว ผู้เสียหายเดินกลับบ้านมีรถแท็กซี่ขับตามหลังมา แล้วมีชายคนหนึ่งซึ่งตอนนั้นยังไม่ทราบชื่อแต่เคยเห็นหน้าหลายครั้งที่ร้านดารณี คือจำเลยนี้ ใช้มือดึงคอผู้เสียหายเข้าไปในรถ รถแล่นไปประมาณ 1 ชั่วโมง ท้ายสุดก็แล่นไปที่ทางซึ่งแยกจากถนนใหญ่และเป็นถนนดินลูกรังไปจอดที่บ้านหลังหนึ่ง จำเลยดึงผู้เสียหายลงจากรถพาเข้าไปในบ้าน แล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ผู้เสียหายเห็นหน้าจำเลยจากแสงไฟข้างรถเมื่อรถจอดรอไฟแดง ก็เห็นหน้าจำเลย ผู้เสียหายเห็นหน้าจำเลยชัดขณะเดินผ่านไฟหน้ารถไปที่บ้านหลังที่กักขังผู้เสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้เสียหายเคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อน ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาเพียง 20 นาฬิกา ซอยที่เกิดเหตุอยู่ในย่านชุมชนรถย่อมแล่นผ่านบริเวณที่มีแสงไฟข้างถนนและแล่นสวนทางกับรถอื่นผู้เสียหายมีโอกาสเห็นหน้าจำเลยได้ชัดจากแสงไฟเหล่านั้น ทั้งผู้เสียหายยังอยู่ใกล้กับจำเลยเป็นเวลานาน น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจำหน้าจำเลยได้ พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าวันเกิดเหตุจำเลยพาตัวผู้เสียหายไปดังที่โจทก์กล่าวหา ฎีกาของจำเลยที่ว่าผู้เสียหายจำคนร้ายผิดตัวฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต่อไปว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารหรือไม่ ข้อนี้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหาย เห็นว่าผู้เสียหายเป็นหญิงสาวและไม่มีสาเหตุที่ผู้เสียหายจะแกล้งเบิกความให้ร้ายจำเลยคำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายจึงมีน้ำหนัก ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายดังที่ผู้เสียหายยืนยันการกระทำของจำเลยเป็นพรากผู้เยาว์ไปเสียจากผู้ปกครองดูแลเพื่อการอนาจารแล้ว
มีปัญหาว่า จำเลยกระทำการข้างต้นโดยบังคับขู่เข็ญผู้เสียหายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ทันใดที่ผู้เสียหายกลับมาเมื่อวันที่ 16กรกฎาคม 2529 ผู้เสียหายไม่ได้บอกผู้ใดเลยว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายบังคับขู่เข็ญพาผู้เสียหายไปแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่กลับบอกนางอุไรวรรณเจ้าของร้านดารณีที่ผู้เสียหายไปเรียนเสริมสวยอยู่ด้วยว่า ผู้เสียหายไปเที่ยวหัวหินกับเพื่อนและต่อนางสาวจรวยพี่สาวผู้เสียหายซึ่งผู้เสียหายพักด้วย ผู้เสียหายก็บอกเช่นนั้น ที่ผู้เสียหายแจ้งให้นางสาวจรวยทราบในวันรุ่งขึ้นว่าฉุดผู้เสียหายขึ้นรถแท๊กซี่ไปก็ดีแจ้งให้นางป่วมทราบในวันที่ 21กรกฎาคม 2529 ว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหลังจากฉุดไปแล้วก็ดี เหล่านี้เห็นว่าไม่มีน้ำหนัก เพราะเป็นคำบอกเล่าภายหลังที่ผู้เสียหายมีโอกาสใคร่ครวญไตร่ตรองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วทั้งผู้เสียหายมิได้แจ้งเรื่องนี้ต่อพนักงานสอบสวนเมื่อไปแจ้งความในครั้งแรก คำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานเดี่ยวที่ว่าจำเลยใช้กำลังฉุดขึ้นรถแท๊กซี่แล้วชกต่อยตบตีผู้เสียหาย ทั้งขณะที่อยู่ในรถและที่บ้านก่อนข่มขืนกระทำชำเรานั้น จึงมีน้ำหนักน้อย ไม่พอฟังว่าจำเลยบังคับขู่เข็ญพาผู้เสียหายไปและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายดังโจทก์ฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 18 ปี เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น
เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยบังคับขู่เข็ญพาผู้เสียหายไป และข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายดังกล่าวแล้ว ที่ผู้เสียหายอ้างว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้จึงไม่มีเหตุผล ปัญหานี้แม้จะไม่มีประเด็นขึ้นมาสู่ศาลฎีกาโดยตรง เพราะข้อหานี้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยในข้อหานี้ 1 ปี อันต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดในข้อหานี้ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย
คดีมีปัญหาต่อไปว่า เมื่อจำเลยมิได้บังคับขู่เข็ญพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารอันจะเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ที่โจทก์ฟ้องแล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 ดังที่พิจารณาได้ความได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยลักษณะที่ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตามประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติเป็นความผิดทั้งนั้นหากแต่กำหนดโทษหนักเบาต่างกันเท่านั้น กล่าวคือ เมื่อผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318วรรคท้าย เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ศาลย่อมปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่าได้ มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับฟ้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก ให้จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก.

Share