คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3935/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญานั้น มีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 และ 31 เฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการหรือพนักงานอัยการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายในคดีที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น นอกเหนือจากสองกรณีนี้แล้ว การขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมไม่อาจจะมีได้ ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งเป็นโจทก์ฟ้องคดีแล้ว ผู้เสียหายอื่นจะร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมจึงไม่อาจกระทำได้ และจะอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2) ซึ่งบัญญัติให้สิทธิบุคคลภายนอกในกรณีร้องสอดขอเข้าเป็นโจทก์หรือจำเลยร่วม ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 มาอนุโลมบังคับใช้ในกรณีนี้ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะอำนาจฟ้องดังกล่าวถือว่ากฎหมายได้กำหนดไว้เป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะในมาตรา 30 และ 31 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว ดังนั้น ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์เดิมได้
การให้วินิจฉัยปัญหาโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกานั้น เป็นอำนาจและหน้าที่ของประธานศาลฎีกาโดยเฉพาะ คู่ความจะร้องขอขึ้นมาหาได้ไม่.

ย่อยาว

สืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่สมคบกันปลอมพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ระหว่างพิจารณา นายชัยสิทธิ์ ฐาปนะดิลก และนางพัชนี ศิริพันธ์ ต่างยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสองต่างอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามอุทธรณ์ จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ นางพัชนี ผู้เดียวยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ แล้วพิพากษายืน
นางพัชนี ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาเรื่องการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญานั้น ได้มีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๐ และ ๓๑ เฉพาะในกรณีที่ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการหรือพนักงานอัยการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายในคดีที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น นอกเหนือจากสองกรณีแล้ว การขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมไม่อาจจะมีได้ ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งเป็นโจทก์ฟ้องคดีแล้ว ผู้เสียหายอื่นจะร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมจึงไม่อาจกระทำได้และจะอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๒) ซึ่งบัญญัติให้สิทธิบุคคลภายนอกในกรณีร้องสอดขอเขาเป็นโจทก์หรือจำเลยร่วม ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ มาอนุโลมบังคับใช้ในกรณีนี้ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะอำนาจฟ้องดังกล่าวถือว่ากฎหมายได้บัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะในมาตรา ๓๐ และ ๓๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว ดังนั้น ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์เดิมได้ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไม่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นโจทก์ร่วมจึงชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ตามที่ผู้ร้องมีคำขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหานี้โดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไปนั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งมาตรา ๒๐๘ ทวิ ประกอบกับมาตรา ๒๒๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา บัญญัติให้การวินิจฉัยปัญหาโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกานั้น เป็นอำนาจและหน้าที่ของประธานศาลฎีกาโดยเฉพาะ คู่ความจะร้องขอขึ้นมาหาได้ไม่ จึงให้ยกคำขอของผู้ร้องในข้อนี้เสีย
พิพากษายืน

Share