แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายข้อเรียกร้องมาในฟ้อง ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากจำเลยที่ 2 ละเมิดอยู่ในบ้านพิพาทของโจทก์โดยความยินยอมของจำเลยที่ 1 โดยไม่มีสิทธิจะอ้างได้ตามกฎหมาย ในคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาโดยบรรยายข้อเท็จจริงเข้ามาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น โดยละเอียดพอที่จำเลยเข้าใจข้อหาของโจทก์ได้ดี ฟ้องของโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
จำเลยที่ 1 เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว การที่จำเลยที่ 2 ครอบครองบ้านพิพาทต่อไปภายหลังเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ การที่โจทก์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 หาเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตไม่
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ฐานจำเลยที่ 1 รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 2 ละเมิดอยู่บ้านพิพาท โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้เพียง 1 ปี ส่วนค่าเสียหายที่เกินกว่า 1 ปีขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเก็บจากจำเลยที่ 1 (อ้างฎีกาที่ 1273/2500)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เช่าบ้านของโจทก์มีกำหนด ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๙๗ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ค่าเช่าเดือนละ ๑๕๐ บาท ตกลงกันว่าเมื่อเลิกสัญญาแล้ว ถ้าผู้เช่าไม่ยอมออก เก็บในอัตราเดือนละ ๕๐๐ บาท เมื่อสัญญาเช่าสิ้นอายุ จำเลยไม่ชำระค่าเช่าหรือเงินค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ได้ออกไปจากบ้านและได้บอกเลิกการเช่ากับโจทก์ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๔๙๙ แต่ไม่ได้ส่งมอบบ้านให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ ๑ และเป็นบริวารคงครอบครองบ้าน เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ รู้เห็นยินยอม ขอศาลพิพากษาขับไล่จำเลยที่ ๒ และบริวารออกจากบ้านพิพาท ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๓๙,๕๐๐ บาท และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ ๕๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๐๕ จนกว่าจะออก
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้เลิกสัญญาและออกจากบ้านไปตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๔๙๙ ซึ่งโจทก์ได้รับรู้อันเป็นการรับมอบบ้านแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ และบริวารอยู่และรับชำระค่าเช่าต่อมาก็ด้วยความยินยอมของโจทก์ ไม่ใช่บริวารจำเลยที่ ๑ การที่จำเลยที่ ๒ ครอบครองบ้านต่อมาหาใช่เพราะจำเลยที่ ๑ ยินยอมไม่ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความ
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยที่ ๑ รับกันว่าจำเลยที่ ๒ ออกจากบ้านและโจทก์เข้าครอบครองแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๐๖
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ ๒ กับบุตรอยู่ในบ้านโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ ๑ แม้จำเลยที่ ๑ บอกเลิกการเช่า แต่จำเลยที่ ๒ กับบุตรยังอยู่ในบ้านพิพาท ไม่อาจถือว่าจำเลยที่ ๑ ส่งมอบบ้านคืนแก่โจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ ๑๕๐ บาท นับแต่เดือนธันวาคม ๒๔๙๙ ถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๐๖ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า
๑. ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โจทก์บรรยายข้อเรียกร้องมาในฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายอันเกิด
จากจำเลยที่ ๒ ละเมิดอยู่ในบ้านพิพาทโดยความยินยอมของจำเลยที่ ๑ โดยไม่มีสิทธิจะอ้างได้ตามกฎหมาย ในคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาโดยบรรยายข้อเท็จจริงเข้ามา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นมาโดยละเอียดพอที่จำเลยเข้าใจข้อหาของโจทก์ได้ดี ฟ้องของโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
๒. จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ได้เลิกการเช่ากับโจทก์แล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับบ้านพิพาทต่อโจทก์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ได้เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วแต่เดือนมกราคม ๒๔๙๙ และการที่จำเลยที่ ๒ ครอบครองบ้านพิพาทต่อไปภายหลังจากจำเลยที่ ๑ เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วตลอดมานั้น เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์โดยจำเลยที่ ๑ รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยที่ ๑ ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ การที่โจทก์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ หาเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตดังที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอ้างไม่
สำหรับค่าเสียหายนั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสมควรให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๑๕๐ บาทเท่าอัตราค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจริง ฝ่ายโจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติ
๓. จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานจำเลยที่ ๑ รู้
เห็นยินยอมให้จำเลยที่ ๒ ละเมิดอยู่บ้านพิพาท หาใช่ฟ้องโดยอาศัยมูลสัญญาดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ และโจทก์รู้ถึงจำเลยที่ ๑ ละเมิดต่อโจทก์มาตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๔๙๙ แต่โจทก์เพิ่งฟ้องเรียกค่าเสียหายเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๕ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๔๘ โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ ได้เพียง ๑ ปี และค่าเสียหายตั้งแต่วันโจทก์ฟ้องคดีนี้จนถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๐๖ ส่วนค่าเสียหายที่เกินกว่า ๑ ปี ขาดอายุความแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเก็บจากจำเลยที่ ๑ ตามนัยฎีกาที่ ๑๒๗๓/๒๕๐๐
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑๕๐ บาท มีกำหนดเวลา ๑ ปี และค่าเสียหายเดือนละ ๑๕๐ บาทนับแต่วันโจทก์ฟ้องคดีนี้ถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๐๖ ให้แก่โจทก์.