แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบแล้วไม่ปรากฏว่ามีเอกสารฉบับใดเลยที่มีข้อความแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์หรือมีข้อความว่าจะใช้คืนอันเป็นสาระสำคัญของหลักฐานเป็นหนังสือที่บ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์ ลำพังหนังสือขอเบิกค่าใช้จ่ายประจำเดือนของจำเลยที่ 1 ที่มีเพียงข้อความระบุถึงจำนวนเงินที่ขอเบิกและวันที่ขอรับเงินตามเอกสารหมาย จ.12 ถึง จ.24 คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 2 ได้รับเช็คไปจากโจทก์แล้วเท่านั้น ยังไม่อาจฟังขยายความออกไปได้ว่าเป็นการรับเช็คที่กู้ยืมเงินจากโจทก์หรือรับเงินที่กู้ยืม หนังสือขอเบิกค่าใช้จ่ายประจำเดือนตามเอกสารดังกล่าวจึงมิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน ส่วนรายงานที่ ป. มีถึงโจทก์ ก็ปรากฎเพียงข้อความว่า ขอให้โจทก์พิจารณาจ่ายเงินกู้ยืมให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเอกสารที่ ป. จัดทำขึ้นเองแต่ฝ่ายเดียว ทั้งไม่ปรากฏลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ลงไว้เป็นสำคัญ เอกสารดังกล่าวจึงมิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินอีกเช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 132,034,958.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 110,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 110,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 8,000,000 บาท นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2546 วันที่ 30 กรกฎาคม 2546 วันที่ 28 สิงหาคม 2546 วันที่ 29 กันยายน 2546 วันที่ 29 ตุลาคม 2546 วันที่ 26 พฤศจิกายน 2546 วันที่ 27 มกราคม 2547 วันที่ 26 มีนาคม 2547 วันที่ 28 เมษายน 2547 วันที่ 27 พฤษภาคม 2547 และวันที่ 24 มิถุนายน 2547 ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2546 ของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 ของต้นเงิน 7,000,000 บาท นับแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2547 และของต้นเงิน 4,000,000 บาท นับแต่วันที่ 8 มีนาคม 2547 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 13,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 8,000,000 บาท นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2546 และของต้นเงิน 5,000,000 บาท นับแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2546 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระแทนเท่าที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า เอกสารขอเบิกเงินค่าใช้จ่ายประจำเดือนและสำเนาเช็คที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับต้นฉบับไปจากโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.12 – จ.14 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า เอกสารขอเบิกเงินค่าใช้จ่ายประจำเดือน และสำเนาเช็คที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับต้นฉบับไปจากโจทก์ทุกฉบับ เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือซึ่งจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับจำเลยทั้งสองได้นั้น เห็นว่า จากหลักฐานหนังสือขอเบิกค่าใช้จ่ายประจำเดือนและการจ่ายเงิน ตามเอกสารหมาย จ.10 ถึง จ.24 เมื่อจำเลยที่ 1 ทำหนังสือขอเบิกค่าใช้จ่ายประจำเดือน นางปัทมาพนักงานการเงินของบริษัทอุตสาหกรรมท่อน้ำไทย จำกัด จะทำรายงานเสนอโจทก์เพื่อให้โจทก์พิจารณาอนุมัติเงินที่จำเลยที่ 1 ขอเบิก เมื่อโจทก์อนุมัติให้จ่ายเงินตามที่จำเลยที่ 1 ขอเบิกแล้ว หากจ่ายเป็นเงินสด จำเลยที่ 2 จะลงชื่อรับเงินในใบรับเงิน โดยมีข้อความว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้รับเงินยืมจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างโครงการปรับปรุงขยายการประปาอุดรธานีไว้เรียบร้อยแล้ว หากสั่งจ่ายเป็นเช็คโจทก์ก็สั่งจ่ายจากบัญชีส่วนตัวของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลงชื่อรับเช็คไว้ นอกจากนี้ในการรับเงินสดหรือเช็คจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ได้สั่งจ่ายเช็คเท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับจากโจทก์ให้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อความในบันทึกของจำเลยที่ 1 ที่ขอเบิกค่าใช้จ่ายประจำเดือนจากโจทก์ประกอบกับรายงานที่นางปัทมามีถึงโจทก์แล้ว แม้เป็นกรณีนางปัทมาขอให้โจทก์พิจารณาจ่ายเงินกู้ยืมแก่จำเลยที่ 1 ทั้งเป็นการกู้ยืมเงินต่อเนื่องจากการกู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 แต่คงมีเพียงใบรับเงินตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 เท่านั้น ที่มีข้อความแสดงชัดว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้รับเงินยืมจากโจทก์ 8,000,000 บาทและ 5,000,000 บาท ตามลำดับ โดยมีจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ใบรับเงินตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 โจทก์สามารถฟ้องให้บังคับคดีตามใบรับเงินทั้งสองฉบับนี้ได้ดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้ว ส่วนการรับเงินครั้งอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบแล้วไม่ปรากฏว่ามีเอกสารฉบับใดเลยที่มีข้อความแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ หรือมีข้อความว่าจะใช้คืนให้อันเป็นสาระสำคัญของหลักฐานเป็นหนังสือที่บ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์ ลำพังหนังสือขอเบิกค่าใช้จ่ายประจำเดือนของจำเลยที่ 1 ที่มีเพียงข้อความระบุถึงจำนวนเงินที่ขอเบิกและวันที่ขอรับเงินตามเอกสารหมาย จ.12 ถึง จ.24 คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 2 ได้รับเช็คไปจากโจทก์แล้วเท่านั้น ยังไม่อาจรับฟังขยายความออกไปได้ว่าเป็นการรับเช็คที่กู้ยืมเงินจากโจทก์หรือรับเงินที่กู้ยืม หนังสือขอเบิกค่าใช้จ่ายประจำเดือนตามเอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน ส่วนรายงานที่นางปัทมามีถึงโจทก์ ก็ปรากฏเพียงข้อความว่า ขอให้โจทก์พิจารณาจ่ายเงินกู้ยืมให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเอกสารที่นางปัทมาจัดทำขึ้นเองแต่ฝ่ายเดียว ทั้งไม่ปรากฏลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ลงไว้เป็นสำคัญ เอกสารดังกล่าวจึงมิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินอีกเช่นกัน โจทก์จึงไม่อาจอาศัยเอกสารขอเบิกเงินค่าใช้จ่ายประจำเดือนและสำเนาเช็คตามเอกสารหมาย จ.12 – จ.24 ที่มิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมดังกล่าวมาฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดได้
อนึ่ง จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องมาด้วย โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เห็นพับ