คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3927/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยแจ้งการประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์สำหรับปี พ.ศ. 2515ถึง พ.ศ. 2519 ในวันเดียวกัน และโจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินทั้งหมดพร้อมกัน แต่ในแบบแจ้งการประเมินสำหรับปี พ.ศ. 2518มิได้มีรายละเอียดในช่องรายการประเมิน ข้อ 2(ก)ถึง(ง)ว่าเป็นเงินได้ประเภทใด และตามข้อ 7(ก)และ(ข) ไม่ระบุว่าเป็นภาษีเงินได้เฉลี่ย ไปในทางใด เหมือนที่ระบุไว้ในแบบแจ้งการประเมินของปีอื่น ๆ เนื่องจากความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่ของจำเลยเมื่อปรากฏว่ารายการในข้อ 2(ก)ถึง(ง)และข้อ7(ก)และ(ข)ในแบบแจ้งการประเมินของปีอื่นเหมือนกันทั้งหมด และโจทก์ทราบและเข้าใจแบบแจ้งการประเมินที่มิได้ระบุรายการไว้เป็นอย่างดีว่าข้อความในรายการที่มิได้ระบุไว้ดังกล่าวย่อมเป็นทำนองเดียวกับที่ระบุไว้ในแบบแจ้งการประเมินของปีอื่น จนถึงกับยินยอมรับชำระภาษีเพิ่มเติม ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยพิมพ์รายการขาดตกบกพร่องในแบบแจ้งการประเมินดังกล่าว จึงไม่เป็นเหตุทำให้โจทก์ไม่เข้าใจหรือเสียหายแต่อย่างใด การประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์สำหรับปี พ.ศ. 2518 จึงชอบด้วยกฎหมาย ส. จ่ายค่าตอบแทนเกี่ยวกับกิจการระเบิดหินและโม่ หินให้แก่ภริยาโจทก์ทุกเดือน รายได้ของโจทก์และภริยาเป็นผลประโยชน์เกี่ยวกับการที่ให้ ส. ดำเนินกิจการระเบิดหินรวมทั้งโม่ หิน ซึ่งมิใช่การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ย่อมจัดอยู่ในบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 5 การให้เช่าทรัพย์สินซึ่งมิใช่อสังหาริมทรัพย์โจทก์และภริยามีหน้าที่เสียภาษีการค้า.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเห็นว่า โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปี พ.ศ. 2515 ถึง พ.ศ. 2519 ไว้ไม่ถูกต้อง จึงประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้และเงินเพิ่มเป็นเงิน 213,663.75 บาท และประเมินภาษีการค้าว่าโจทก์มีรายรับจากการให้เช่าสังหาริมทรัพย์ประจำเดือนมกราคมถึงธันวาคมสำหรับปี พ.ศ. 2515 ถึง พ.ศ. 2519จึงประเมินภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวม 89,911.45 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมินแล้ว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวขอให้พิพากษาว่าโจทก์ไม่ต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าดังกล่าวกับให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้ารวมทั้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวทั้งหมด
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ให้ความยินยอมแก่เจ้าพนักงานว่า ยินยอมชำระภาษีให้ครบถ้วนเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันโจทก์ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรฟังข้อเท็จจริงว่า นายสมศักดิ์ เชยกำแหจ่ายเงินให้แก่นางเงินยวงภริยาโจทก์เป็นค่าผลประโยชน์จากการระเบิดหินทำโรงโม่หิน โจทก์จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากรายได้ดังกล่าวและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ในปัญหาข้อสามที่ว่าจำเลยประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์สำหรับปี พ.ศ. 2518 โดยมิได้ระบุว่าเป็นเงินได้อะไรเป็นการชอบหรือไม่นั้น ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.10 แบบแจ้งการประเมินภาษีเงินได้แก่โจทก์ว่าไม่มีรายละเอียดในช่องรายการประเมิน ข้อ 2(ก) ถึง (ง) ว่าเป็นเงินประเภทใดและตามข้อ 7(ก) และ (ข) ไม่ระบุว่าเป็นภาษีเงินได้เฉลี่ยไปในทางใดข้อนี้นางจำนงพรเจ้าพนักงานประเมินเบิกความว่า เอกสารแจ้งการประเมินของปี พ.ศ. 2518 ไม่มีรายละเอียดระบุว่าเป็นเงินเดือนค่าเช่าสัมปทาน ค่าเช่าที่ดิน และค่าเช่าบ้าน เหมือนกับหนังสือแจ้งการประเมินของปี พ.ศ. 2515 พ.ศ. 2517 และ พ.ศ. 2519 นั้นเข้าใจว่า เจ้าหน้าที่อาจจะพลั้งเผลอ แต่อย่างไรก็ตามยอดเงินที่ปรากฏในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 (ซึ่งรวมถึงเอกสารหมาย จ.10 ด้วย)ตรงกับยอดเงินที่พยานได้แจ้งให้โจทก์ทราบตามเอกสารหมาย ล.1แผ่นที่ 146 และ 147 ศาลฎีกาเห็นว่า แบบแจ้งการประเมินภาษีเงินได้ของปี พ.ศ. 2515 ถึง พ.ศ. 2519 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.11นั้น ลงวันที่วันเดียวกันคือวันที่ 12 ตุลาคม 2522 ทั้งโจทก์เบิกความว่าโจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินดังกล่าวในวันที่12 ตุลาคม 2522 การที่โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินทั้งหมด 5 ฉบับของปี พ.ศ. 2515 ถึง พ.ศ. 2519 ดังกล่าวซึ่งมีรายการในข้อ 2(ก)ถึง (ง) และข้อ 7 (ก) และ (ข) เหมือนกันหมดในเอกสารหมาย จ.7ถึง จ.9 และ จ.11 แต่ในเอกสารหมาย จ.10 ไม่มีรายการดังกล่าวเนื่องจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยพลั้งเผลอนั้น โจทก์ย่อมเข้าใจได้โดยง่ายว่าข้อความในรายการดังกล่าวก็ย่อมเป็นทำนองเดียวกับที่ระบุไว้เหมือน ๆ กับในปีอื่นนั่นเอง และต่อมาเมื่อโจทก์มาให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานประเมิน ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 หน้า 146 และ 147แสดงให้เห็นว่าโจทก์ทราบและเข้าใจแบบแจ้งการประเมินดังกล่าวเป็นอย่างดี จนถึงกับยินยอมรับชำระภาษีเพิ่มเติมดังที่จำเลยทำการประเมินเรียกเก็บจากโจทก์รวมทั้งในปี พ.ศ. 2518 ที่เป็นปัญหานี้ด้วย ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่พลั้งเผลอพิมพ์รายการขาดตกบกพร่องไปบ้างในเอกสารหมาย จ.10 จึงไม่เป็นเหตุทำให้โจทก์ไม่เข้าใจหรือเสียหายอย่างใด ดังนี้ข้อบกพร่องดังกล่าวจึงไม่เป็นเหตุทำให้การประเมินภาษีเงินได้ของปี พ.ศ. 2518 เป็นการไม่ชอบ
ในปัญหาข้อสี่ที่ว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภท 5 หรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้วว่านายสมศักดิ์ได้จ่ายค่าตอบแทนเกี่ยวกับกิจการระเบิดหินและโม่หินให้แก่ภริยาโจทก์เดือนละ 25,000 ถึง 30,000 บาทโจทก์และภริยาจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าประเภทการค้า 5 ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าแห่งประมวลรัษฎากรซึ่งระบุว่าได้แก่การให้เช่าทรัพย์สินที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์ รายได้ของโจทก์และภริยาเป็นผลประโยชน์เกี่ยวกับการที่ให้นายสมศักดิ์ดำเนินกิจการระเบิดหินรวมทั้งโม่หิน ซึ่งมิใช่การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ย่อมจัดเข้าอยู่ในประเภทการค้า 5 ดังกล่าว เป็นการถูกต้องแล้ว โจทก์จึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าดังที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share