คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3923/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหาย ส. และ ป. ประจักษ์พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า จำหน้าคนร้ายได้และยืนยันว่าจำเลยทำหน้าที่เป็นคนขับรถจักรยานยนต์ แต่มิใช่คนร้ายที่ไล่ยิงผู้เสียหาย โดยขณะเกิดเหตุจำเลยยังคงนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมาและขณะนั้นได้ดับเครื่องรถตลอดเวลาด้วย ทั้งผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อถูกยิง1 นัดแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีคนร้ายไล่ตามมาทำร้ายอีก และไม่เห็นคนร้ายและจำเลยร่วมกันหลบหนีไปทางใด ลักษณะเช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะช่วยเหลือพากันหลบหนีได้ทันที อีกทั้งผู้เสียหายกับจำเลยต่างไม่เคยรู้จักกันและไม่มีสาเหตุใด ๆ ต่อกันมาก่อน เมื่อจำเลยถูกจับกุมก็ได้แจ้งชื่อคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมคนร้ายจนสามารถยึดอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์มาเป็นของกลางอีกด้วย รูปคดีทำให้มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้ช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานสนับสนุนการมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 9 เดือน ฐานสนับสนุนการพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 4 เดือน 15 วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานสนับสนุนการพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง 215 และ 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และสั่งริบอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานสนับสนุนการพยายามฆ่าผู้อื่นให้จำคุก 22 ปี 2 เดือน 20 วัน ฐานสนับสนุนการมีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี ฐานสนับสนุนการพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือนรวมจำคุก 23 ปี 8 เดือน 20 วัน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างเห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 17 ปี 9 เดือน 15 วัน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า จำคุก 8 ปี 10 เดือน 20 วัน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นรวมจำคุก 10 ปี 4 เดือน 20 วัน ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 9 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้คือ จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ โดยจะแยกวินิจฉัยแต่ละฐานความผิดดังต่อไปนี้ ในความผิดฐานสนับสนุนการพยายามฆ่าผู้อื่นนั้นโจทก์มีประจักษ์พยานรวม 3 คน คือ ผู้เสียหาย นายสมพร และนายประเสริฐเท่านั้นที่เบิกความยืนยันว่าจำหน้าคนร้ายได้และยืนยันว่าจำเลยทำหน้าที่เป็นคนขับรถจักรยานยนต์ แต่ในขณะเดียวกันกลับได้ความจากผู้เสียหายและนายประเสริฐว่า จำเลยมิใช่คนร้ายที่ไล่ยิงผู้เสียหายโดยขณะเกิดเหตุจำเลยคงนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยขับมาและขณะนั้นจำเลยได้ดับเครื่องรถตลอดเวลาด้วยที่สำคัญผู้เสียหายเบิกความว่าเมื่อถูกยิง 1 นัด แล้วก็ไม่ปรากฏว่ามีคนร้ายไล่ตามมาทำร้ายอีก นอกจากนี้ได้ความจากผู้เสียหายและนายประเสริฐต่อไปว่าหลังจากเกิดเหตุแล้วไม่เห็นคนร้ายและจำเลยร่วมกันหลบหนีไปทางใดประกอบกับการที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์มาจอดแล้วดับเครื่องรถและนั่งอยู่ที่รถจักรยานยนต์ตลอดเวลาในลักษณะเช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะช่วยเหลือพากันหลบหนีได้ทันที กรณีเห็นได้ว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นใด ๆ ในการกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง อีกทั้งการที่ผู้เสียหายกับจำเลยต่างไม่เคยรู้จักกันและไม่มีสาเหตุใด ๆ ต่อกันมาก่อน และเมื่อจำเลยถูกจับกุมจำเลยก็ได้แจ้งชื่อคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายแก่เจ้าพนักงานตำรวจทันทีและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมคนร้ายดังกล่าวจนสามารถยึดอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์มาเป็นของกลางอีกด้วย เช่นนี้รูปคดีทำให้มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้ช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง คดีโจทก์จึงฟังลงโทษจำเลยในฐานความผิดนี้ไม่ได้ทั้งนี้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยถึงพยานหลักฐานของจำเลยอีกต่อไป
สำหรับที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานสนับสนุนการมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน และสนับสนุนการพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานสนับสนุนการมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 9 เดือนฐานสนับสนุนการพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือน 15 วัน เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานสนับสนุนการพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานสนับสนุนการมีอาวุธปืนและสนับสนุนการพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 215 และ 225เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันแม้ว่าความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจะต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ อาวุธปืนของกลางเป็นของผิดกฎหมายจึงให้ริบนอกนั้นไม่ริบ

Share