แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นสาขาของบริษัทจำกัดซึ่งอยู่ในต่างประเทศ ทนายของจำเลยยื่นอุทธรณ์ ในระหว่างอุทธรณ์จำเลยเลิกกิจการแต่ไม่มีผู้ใดคัดค้านให้ศาลอุทธรณ์ทราบต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษา เช่นนี้ถือว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้นใช้บังคับได้คดีหาได้ถึงที่สุดไปในวันที่จำเลยเลิกกิจการไม่
ย่อยาว
กรณีนี้ขึ้นสู่ศาลฎีกาในชั้นบังคับคดี เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินค่าไม้แก่โจทก์ 138,204.08 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ชั้นอุทธรณ์จำเลยนำธนาคารอินโดจีนมาเป็นผู้ค้ำประกันเป็นงวด ๆ ละ 6 เดือน โจทก์ยอมให้ค้ำประกันได้ ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตสัญญาค้ำประกันมีความว่า ภายในเวลา 6 เดือนนับจากวันทำสัญญาถ้าจำเลยแพ้คดีและไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาผู้ค้ำประกันจะใช้แทนให้ ครั้นล่วงพ้นกำหนด 6 เดือนแล้วจำเลยไม่ได้นำผู้ค้ำประกันมาทำสัญญาต่อ โจทก์จึงร้องต่อศาล ทนายจำเลยว่าไม่พบตัวจำเลย โจทก์จึงว่าจะจัดการต่อไปตาม กฎหมายครั้นต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องว่าจำเลยได้เลิกกิจการในประเทศไทยแล้วตั้งแต่ยังเป็นเวลาอยู่ในระหว่างที่ธนาคารอินโดจีนยังเป็นผู้ค้ำประกันอยู่ โจทก์ไม่มีทางจะรับชำระหนี้จากจำเลยได้ ธนาคารต้องรับผิด ขอให้บังคับใช้หนี้แทนจำเลย
ศาลชั้นต้นสั่งว่าสัญญาประกันสิ้นอายุแล้ว บังคับไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแพ้คดีเมื่อสัญญาค้ำประกันสิ้นอายุแล้วหลายเดือน ธนาคารอินโดจีนจึงไม่ต้องรับผิดแทนจำเลย แม้จำเลยจะเลิกกิจการก่อนสัญญาค้ำประกันสิ้นอายุก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องคอยระวัง และที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อจำเลยเลิกกิจการแล้วฐานะของทนายก็หมดไป อุทธรณ์ของจำเลยก็เท่ากับไม่มีหรือหมดสภาพเป็นอุทธรณ์เท่ากับจำเลยแพ้คดีในที่สุดในวันเลิกกิจการนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นคำพิพากษาที่มีผลบังคับได้ และศาลอุทธรณ์พิพากษาไปก่อนที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยเลิกกิจการ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน