แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสี่ตรวจพบสุรากลั่นจำนวน 14 ขวด มีแรงแอลกอฮอล์สูงกว่าสุราที่ชอบด้วยกฎหมายและโจทก์ว่าเป็นสุราที่ซื้อมาจาก ล. ตัวแทนจำหน่ายสุราในอำเภอจักราช ดังนี้ ไม่ใช่ความผิดซึ่งเจ้าพนักงานเห็นโจทก์กำลังกระทำหรือพบในอาการซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าโจทก์กระทำผิดมาแล้วสด ๆ จึงไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับโจทก์ได้โดยไม่มีหมายจับ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,179, 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 คดีจึงมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมายและในการวินิจฉัยข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานสรรพสามิต ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นผู้จัดการบริษัทสุราทิพย์รังสิมามหาชน จำกัด โจทก์มีอาชีพขายสุรา โดยได้รับใบอนุญาตขายสุราประเภท 4 และซื้อสุรามาจากนางเล็กตัวแทนจำหน่ายที่อำเภอจักราช เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2528 เวลา 15นาฬิกา จำเลยทั้งสี่กับพวกไปขอตรวจค้นสุราเถื่อนที่บ้านโจทก์แล้วนำเอาสุราในบ้านโจทก์ 14 ขวด ออกตรวจปรากฏว่ามีแอลกฮอล์สูงกว่าสุราที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงยึดไว้เป็นของกลาง ได้จับโจทก์และทำบันทึกจับกุมโจทก์โดยไม่มีหมายจับแล้วนำโจทก์ส่งต่อพนังงานสอบสวน มีปัญหาพิจารณาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์กระทำความผิดซึ่งหน้าหรือไม่ จำเลยจับโจทก์โดยไม่มีหมายจับเป็นการชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดซึ่งหน้าได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสด ๆ เว้นแต่ความผิดที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและต้องหลักเกณฑ์ตามมาตรา 80วรรคสอง (1) (2) การที่จำเลยทั้งสี่ตรวจพบสุรากลั่นจำนวน 14ขวด มีแรงแอลกอฮอล์สูงกว่าสุราที่ชอบด้วยกฎหมายและโจทก์ว่าเป็นสุราที่ซื้อมาจากนางเล็กตัวแทนจำหน่ายสุราในอำเภอจักราช ดังนี้ ไม่ใช่ความผิดซึ่งเจ้าพนักงานเห็นโจทก์กำลังกระทำหรือพบในอาการซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าโจทก์กระทำผิดมาแล้วสดๆ จึงไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับโจทก์ได้โดยไม่มีหมายจับ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานการที่จำเลยทั้งสามจับโจทก์โดยไม่มีหมายจับ จึงอาจจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และการที่จำเลยทั้งสามทำบันทึกการจับกุมโจทก์ หากการจับกุมไม่ชอบ บันทึกการจับกุมดังกล่าวก็อาจจะเป็นพยานหลักฐานอันเป็นเท็จซึ่งทำขึ้นเพื่อให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้น ส่วนจำเลยที่ 4 ก็ได้ร่วมกับจำเลยอื่นตรวจจับสุรารายนี้ของโจทก์ด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงมีมูลความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป’.