คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3914/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้า 971,497.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดคำนวณถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 1,033,836.87 บาท เป็นคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (1) แม้การซื้อขายดังกล่าวจะมีข้อตกชำระค่าสินค้าเป็นงวดและโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าไม่ครบจำนวนตามสัญญาเนื่องจากจำเลยชำระค่าสินค้าบางส่วนแก่โจทก์ก็ไม่เป็นเหตุให้คดีของโจทก์กลับกลายเป็นคดีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินอันไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน การที่โจทก์ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยานตามคำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สั่งซื้อสินค้าประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จำนวน 13 รายการ ไปจากโจทก์เป็นเงินพร้อมค่าติดตั้ง 1,320,930 บาท ตกลงแบ่งชำระราคา 4 งวด งวดละ 330,232.50 บาท โจทก์ได้จัดส่งเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์และติดตั้งให้จำเลยแล้ว ยกเว้นอุปกรณ์บางรายการที่ไม่สามารถติดตั้งให้ได้จึงตัดราคาอุปกรณ์ส่วนนี้ออกไปเป็นเงิน 19,200 บาท คงเหลือราคาสินค้าพร้อมอุปกรณ์และค่าติดตั้ง 1,301,730 บาท จำเลยชำระค่าสินค้าให้โจทก์เพียงงวดเดียว คงค้างชำระอีก 3 งวด เป็นเงิน 971,497.50 บาท จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไป ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 62,339.37 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,033,836.87 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 971,497.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,033,836.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 971,497.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 2,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาประการแรกว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินอันไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน โจทก์ส่งพยานเอกสารโดยมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบ จึงถือว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล ศาลชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสียนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าสินค้าตามสัญญาซื้อขายซึ่งโจทก์จำเลยได้ตกลงกำหนดราคาสินค้ากันไว้แล้วเป็นเงินจำนวน 1,320,930 บาท ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าจำนวน 971,497.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดคำนวณถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 1,033,836.87 บาท จึงเป็นกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (1) ดังนั้น แม้การซื้อขายดังกล่าวจะมีข้อตกลงชำระค่าสินค้าเป็นงวดและโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าไม่ครบจำนวนตามสัญญาเนื่องจากจำเลยชำระค่าสินค้าบางส่วนแก่โจทก์และโจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับจำนวนเงินค่าสินค้าก็ไม่เป็นเหตุให้คดีของโจทก์กลับกลายเป็นคดีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินอันไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนดังที่จำเลยฎีกา การที่โจทก์ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยานตามคำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามบัญญัติของกฎหมาย ศาลชอบที่จะรับฟังพยานเอกสารของโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืนให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 2,000 บาท แทนโจทก์

Share