แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก่อนที่ ก. จะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแต่เมื่อโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมและยังมิได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง.
ก่อนซื้อที่ดินพิพาท จำเลยไปดูที่ดินพบบิดาโจทก์อยู่ในที่ดินพิพาท บิดาโจทก์บอกจำเลยว่าเช่าที่ดินพิพาทจาก ก. หากจำเลยซื้อที่ดินพิพาทจะขอเช่าอยู่ต่อไปพฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้แล้วในขณะซื้อที่ดินพิพาทว่าโจทก์ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทอยู่และรับโอนที่ดินโดยไม่สุจริต โจทก์จึงยกการได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้จำเลย ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ เมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยยังไม่ถึงสิบปี จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 7168 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 ในปีพ.ศ. 2522 โจทก์จึงทราบว่าที่ดินส่วนด้านหลังของอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ เนื้อที่ประมาณ 1 ตารางวาเศษที่โจทก์ครอบครองเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินที่ 5288 ซึ่งชื่อในทางทะเบียนเป็นของจำเลย โจทก์ได้ครอบครองมาเกินกว่า 10 ปี โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดิน 1 ตารางวาเศษที่โจทก์ครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ 5288ซึ่งจำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์จากนายกัญจน ตังทัตสวัสดิ์ เมื่อวันที่2 มิถุนายน 2520 โดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริตแล้วนับแต่จำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 6 ปีเศษเท่านั้น โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ซื้อบ้านเลขที่ 188 ถนนไมตรีจิต แขวงป้อมปราบเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร พร้อมที่ดินโฉนดที่ 7168จากนางใหม่ บุญส่ง เมื่อปี 2505 โจทก์ได้เข้าครอบครองบ้านและที่ดินดังกล่าวตั้งแต่ซื้อจนถึงปัจจุบัน รวมเป็นเวลาประมาณ 21 ปี โจทก์ได้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1 ตารางวาเศษ ซึ่งเป็นที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดที่ 5288 แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายกรุงเทพมหานคร มีชื่อในทางทะเบียนเป็นของจำเลย ที่ดินแปลงดังกล่าวนี้จำเลยซื้อมาจากนายกัญจน ตังทัตสวัสดิ์ เมื่อปี พ.ศ. 2520ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย ล.2 มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อเนื่องกันตลอดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ก่อนที่นายกัญจนจะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย แต่เมื่อโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม และยังมิได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง โจทก์ฎีกาว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทโดยทราบว่าบิดาโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้รับโอนที่ดินพิพาทโดยสุจริต แต่โจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยรับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตอย่างไรคงได้ความจากคำเบิกความของจำเลย นายต่วน งามประวัติดีและนายกัญจน ตังทัตสวัสดิ์ พยานจำเลยว่า ก่อนซื้อที่ดินพิพาทจำเลยและนายต่วนไปดูที่ดิน พบบิดาโจทก์อยู่ในที่ดินพิพาท บิดาโจทก์บอกจำเลยว่าเช่าที่ดินพิพาทจากนายกัญจน หากจำเลยซื้อที่ดินพิพาทจะขอเช่าอยู่ต่อไปเท่านั้น พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้แล้วในขณะที่ซื้อที่ดินพิพาทว่าโจทก์ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทอยู่และรับโอนที่ดินโดยไม่สุจริตโจทก์จึงยกการได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้จำเลย ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ เมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยยังไม่ถึงสิบปี โจทก์จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์…”
พิพากษายืน