แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ ว. ให้รับผิดใช้เงินตามเช็คที่สั่งจ่ายให้โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินยืมแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยให้การว่าโจทก์ฟ้องเมื่อพ้น 1 ปี นับแต่วันธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงขาดอายุความ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าก่อนฟ้องโจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สิทธิฟ้องร้องเรียกเงินตามเช็คในทางแพ่งจึงน่าจะมีอายุความ 5 ปี ทั้งเป็นการออกเช็คเนื่องจากการกู้เงินจึงมีอายุความ 10 ปี ดังนี้ ในชั้นอุทธรณ์ไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยเรื่องขยายอายุความตามมาตรา 186 และปัญหาว่าอายุความขยายตามมาตรานี้หรือไม่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเมื่อ ว. ถึงแก่ความตายอายุความที่เป็นโทษแก่ ว. ซึ่งจะขาดลงภายในเวลาต่ำกว่า 1 ปี นับแต่วัน ว. ตาย ย่อมขยายออกไปเป็น 1 ปี นับแต่วันตายตามมาตรา 186 คดีจึงไม่ขาดอายุความ จึงเป็นการนอกประเด็น
กรณีดังกล่าวเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาและคำพิพากษาศษลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่โดยศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ และใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด จำเลยที่ ๕ ฐานรับของโจร กับขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ด้วย และขอให้ศาลสั่งคืนของกลางของผู้เสียหายที่ได้คืนมา ราคา ๒๖,๖๒๕ บาท กับสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ยังไมได้คืนอีก ๑๖๘,๓๗๕ บาท ริบของกลาง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๕ ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงดังฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มีความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีปืนและวัตถุระเบิดและโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จำเลยที่ ๕ มีความผิดฐานรับของโจร ริบอาวุธปืนของกลาง มีดปลายแหลมไม่ปรากฏว่าได้ใช้ในการกระทำผิดไม่ริบ คืนของกลางราคา ๒๖,๖๒๕ บาท และให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไมได้คืนอีก ๑๖๘,๓๗๕ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเรื่องปรับบทลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๔ คืนของกลางราคา ๑๙,๗๒๕ บาท ให้แก่ผู้เสียหาย คืนธนบัตรและเหรียญรวม ๖,๙๐๐ บาทให้แก่เจ้าของ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน ๑๗๕,๒๗๕ บาทแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๔ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และสั่งคืนธนบัตรกับเหรียญรวม ๖,๙๐๐ บาทให้แก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ ๓ ฎีกา ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ได้ร่วมกระทำผิดในคดีเรื่องนี้จริง
วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ฎีกาขอให้คืนธนบัตร ๖,๓๐๐ บาท กับเหรียญ และเหรียญชนิดอื่น ๆ รวม ๖๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย เห็นว่าแม้จะฟังว่าธนบัตร ๖,๓๐๐ บาท เป็นเงินที่จำเลยที่ ๓ ได้มาจากการนำทองรูปพรรณของผู้เสียหายไปขายดังฎีกาของโจทก์ก็ตาม กรณีเป็นที่เห็นได้ว่า ธนบัตร ๖,๓๐๐ บาท มิใช่ทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายในคดีเรื่องนี้ปล้นเอาไป ส่วนเหรียญบาทและเหรียญชนิดอื่น ๆ รวม ๖๐๐ บาท ฟังไม่ได้ว่าเป็นเงินที่จำเลยที่ ๓ ได้มาจากการขายทองรูปพรรณที่ปล้นมาได้และไม่ใช่ทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกปล้นไป ในชั้นนี้จึงคืนให้ผู้เสียหายไม่ได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ ๔ มีความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยผู้กระทำผิดมีอาวุธปืนและวัตถุระเบิดติดตัวไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดตามมาตรา ๓๔๐ ตรี, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๔๐ ตรี จำคุกจำเลยที่ ๔ ยี่สิบปี นอกจากที่แก้นี้แล้วให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์