คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถประมาทตัดหน้ารถยนต์ของโจทก์โดยกะทันหัน ผู้ขับรถยนต์ของโจทก์ได้ระมัดระวังและหยุดรถยนต์ทันทีเพื่อป้องกันมิให้ชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ แต่จำเลยที่ 3ซึ่งขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ของโจทก์มา ไม่ใช้ความระมัดระวังทำให้หยุดรถไม่ทันและชนท้ายรถยนต์ ของโจทก์แล้วดันรถยนต์ของโจทก์ไปชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ จึงเป็นความประมาทของจำเลยที่ 3 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนก-1764 ราชบุรี จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 81-1516 นครปฐม จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-4142 นครปฐม และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-4142 นครปฐม ไว้จากจำเลยที่ 2ในลักษณะประกันภัยค้ำจุน ในวันเกิดเหตุขณะที่นายอาภรณ์ สุขคันธรักษ์ สามีโจทก์ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนก-1764 ราชบุรี ของโจทก์ โดยมีโจทก์นั่งประจำที่นั่งด้านซ้ายมือของคนขับมาตามถนนเพชรเกษม จากหนองแขมโฉมหน้าไปทางท่าพระในระหว่างนั้นจำเลยที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างให้แก่จำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-4142 นครปฐมของจำเลยที่ 2 มาด้วยความประมาทด้วยความเร็วสูงตามหลังรถยนต์ของโจทก์อย่างกระชั้นชิด เป็นเวลาเดียวกันที่จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 81-1516 นครปฐม มาตามถนนพุทธมณฑล สาย 2 ออกสู่ถนนเพชรเกษม จะเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งหน้าไปทางจังหวัดนครปฐมด้วยความประมาทโดยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กำหนด เมื่อถึงปากทางแยกพุทธมณฑลสาย 2ไม่ชะลอรถและหยุดรถให้รถยนต์ของโจทก์ซึ่งแล่นมาตามถนนเพชรเกษมอันเป็นทางเอกแล่นผ่านไปก่อนกลับขับรถออกมาจากปากทางแยกพุทธมณฑลสาย 2 ผ่านตัดถนนเพชรเกษมมายังเกาะกลางเพื่อเลี้ยวขวาบ่ายหน้าไปทางจังหวัดนครปฐม ปาดหน้ารถยนต์ ของโจทก์ที่สามีโจทก์ขับมาอย่างกะทันหัน สามีโจทก์จึงได้หยุดรถเพื่อไม่ให้รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 81-1516 นครปฐม ชนกับรถยนต์ของโจทก์ ในขณะนั้นจำเลยที่ 3 ซึ่งขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน80-4142 นครปฐม มาด้วยความประมาทดังกล่าวเป็นเหตุให้ชนท้ายรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก-1764 ราชบุรี ของโจทก์อย่างแรง แล้วดันรถยนต์ของโจทก์ไปชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 81-1516 นครปฐมที่จำเลยที่ 1 ขับมาทำให้หน้ารถและท้ายรถยนต์ ของโจทก์บุบยุบเสียหาย โจทก์ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลที่หัวเข่า จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-4142 นครปฐมขณะเกิดเหตุ จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ให้การว่า เหตุรถชนกันในคดีนี้มิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 3 แต่เกิดขึ้นจากความประมาทของจำเลยที่ 1 และนายอาภรณ์ สุขคันธรักษ์ โดยนายอาภรณ์ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก-1764 ราชบุรี ตามหลังรถยนต์คันที่จำเลยที่ 3 ขับมาด้วยความเร็วสูงไม่ชะลอความเร็วของรถลง เมื่อถึงทางแยกได้ขับแซงรถยนต์คันที่จำเลยที่ 3 ขับขึ้นไปข้างหน้าแล้วเปลี่ยนเส้นทางเดินรถตัดหน้ารถยนต์คันที่จำเลยที่ 3 ขับในระยะกระชั้นชิด และรถยนต์ของโจทก์ได้เกิดชนกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 81-1516 นครปฐม ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับแล่นออกมาจากทางแยกด้านซ้ายมือแล้วหยุดกะทันหัน สุดวิสัยที่จำเลยที่ 3 จะหยุดได้ทัน จึงเกิดชนกับรถยนต์คันที่นายอาภรณ์ เป็นผู้ขับ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 100,605 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชำระค่าเสียหายเป็นเงิน100,105 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2เป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-4142 นครปฐม จำเลยที่ 4เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันดังกล่าว และจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยขับตามหลังรถยนต์ของโจทก์คันหมายเลขทะเบียน ก-1764 ราชบุรี จากหนองแขมมุ่งหน้าไปทางท่าพระ ครั้นมาถึงทางแยกที่ถนนพุทธมณฑลสาย 2 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 81-1516 นครปฐม จากถนนพุทธมณฑลสาย 2 ออกไปถนนเพชรเกษมเพื่อเลี้ยวขวาไปจังหวัดนครปฐม ผู้ขับรถยนต์ของโจทก์ได้หยุดรถเพื่อไม่ให้ชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ จำเลยที่ 3 ซึ่งขับรถตามหลังรถยนต์ของโจทก์หยุดรถไม่ทัน จึงชนท้ายรถยนต์ ของโจทก์แล้วดันรถยนต์ของโจทก์ไปชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย
พิเคราะห์แล้ว ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 และที่ 4ประการแรกมีว่า จำเลยที่ 3 ประมาทหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2และที่ 4 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ขับรถปาดหน้ารถยนต์ของโจทก์ คนขับรถยนต์ของโจทก์หยุดรถกะทันหันทันที จึงเป็นเหตุสุดวิสัยทำให้จำเลยที่ 3 ซึ่งขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ของโจทก์มาไม่อาจจะหยุดรถได้ทันนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์คันอื่น ก็ต้องระมัดระวังมิให้เกิดเหตุขึ้น เพราะรถยนต์คันหน้าอาจเกิดเหตุขึ้นเมื่อไรก็ได้ ผู้ขับรถยนต์ตามรถยนต์คันอื่นจึงต้องระมัดระวังที่จะไม่ขับรถให้เร็วหรือขับรถจนกระชั้นชิดกับรถยนต์คันหน้าเกินไป การขับรถเร็วและกระชั้นชิดคันหน้าเกินไป เมื่อรถยนต์คันหน้าเกิดเหตุขึ้น ทำให้รถยนต์คันหลังหยุดรถไม่ทันและชนท้ายรถยนต์ คันหน้า มิใช่เป็นเหตุสุดวิสัย เพราะคนขับรถยนต์คันหลังมีโอกาสที่ระมัดระวังได้เมื่อไม่ใช้ความระมัดระวังจนเกิดเหตุขึ้น จึงถือว่าเป็นความประมาทของคนขับรถยนต์คันหลัง สำหรับคดีนี้เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถประมาทปาดหน้ารถยนต์ของโจทก์โดยกะทันหัน ผู้ขับรถยนต์ของโจทก์ได้ระมัดระวังและหยุดรถยนต์ทันทีเพื่อป้องกันมิให้ชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ แต่จำเลยที่ 3 ซึ่งขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ของโจทก์มา ถ้าระมัดระวังเช่นเดียวกับคนขับรถยนต์ของโจทก์ ก็จะหยุดรถได้ทันและไม่เกิดเหตุขึ้น เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ใช้ความระมัดระวังทำให้หยุดรถไม่ทัน และชนท้ายรถยนต์ ของโจทก์แล้วดันรถยนต์ของโจทก์ไปชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ จึงฟังได้ว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ 3 ด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2 และที่ 4 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share