แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า คำเบิกความของจำเลยทั้งสองเป็นข้อสำคัญในคดีโดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยทั้งสองเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไร แต่การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเบิกความยืนยันว่าโจทก์ลงลายมือชื่อหรือยอมรับว่าลงลายมือชื่อในเช็คย่อมเป็นคำบรรยายฟ้องที่แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าถ้าโจทก์ลงลายมือชื่อจริงย่อมจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 คำเบิกความของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์ฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้อยู่ในตัวเองฟ้องของโจทก์จึงมีรายละเอียดเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดลพบุรี กล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โดยกล่าวในฟ้องว่าโจทก์ได้ร่วมลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับ และเช็คดังกล่าวถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งเป็นความเท็จ เพราะโจทก์มิได้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานในคดีดังกล่าวว่าโจทก์ได้ร่วมลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คนั้น จำเลยที่ 1 เคยสอบถาม โจทก์ไม่ปฏิเสธลายมือชื่อในเช็คจำเลยที่ 2 เบิกความสนับสนุนคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยทั้งสองเคยไปพบโจทก์เรื่องหนี้ตามเช็คนั้นโจทก์รับว่าได้ร่วมลงชื่อสั่งจ่ายเช็คดังกล่าวจริง คำเบิกความของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นเท็จ ความจริงโจทก์มิได้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คด้วย และไม่เคยรับว่าได้ลงชื่อร่วมสั่งจ่ายด้วยแต่อย่างใดคำเบิกความเท็จของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหายและเป็นข้อสำคัญในคดี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175, 177, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 6 เดือนและปรับคนละ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษ และให้ลงโทษในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ด้วย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ที่ว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับความผิดฐานเบิกความเท็จชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้องบรรยายว่าในคดีอาญาของศาลจังหวัดลพบุรีหมายเลขแดงที่406/2530 โจทก์ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค จำเลยที่ 1 เบิกความเท็จว่า โจทก์ได้ร่วมลงลายมือชื่อในเช็ค และเมื่อได้สอบถามเรื่องเช็ค โจทก์ไม่ได้ปฏิเสธลายมือชื่อในเช็ค ส่วนจำเลยที่ 2 เบิกความเท็จว่าจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 เคยไปพบโจทก์เกี่ยวกับเรื่องเช็คโจทก์ได้ยอมรับว่าเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายจริง ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดี ความจริงโจทก์ไม่ได้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คและไม่เคยรับว่าลงชื่อในเช็ค การบรรยายฟ้องดังกล่าว โจทก์ได้กล่าวถึงการเบิกความอย่างไรที่เป็นความเท็จและความจริงไว้บริบูรณ์แล้ว และการเบิกความเท็จที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177จะต้องปรากฏว่าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีด้วย แม้คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องเพียงว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองเป็นข้อสำคัญในคดีโดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยทั้งสองเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไรก็ตาม แต่การที่จำเลยทั้งสองยืนยันว่าโจทก์ลงลายมือชื่อหรือยอมรับว่าลงลายมือชื่อในเช็คย่อมเป็นคำบรรยายฟ้องที่แสดงอยู่ในตัวแล้วว่า ถ้าโจทก์ลงลายมือชื่อจริงย่อมจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 ได้ คำเบิกความของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์ฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้อยู่ในตัวเอง ฟ้องโจทก์จึงมีรายละเอียดเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้วฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากคดีนี้โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิด แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องข้อหาความผิดฐานเบิกความเท็จ โดยเห็นว่าความผิดฐานนี้เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)โดยยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลย เพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยเป็นไปตามลำดับศาลจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะความผิดเกี่ยวกับข้อหาเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่เฉพาะส่วนนี้ตามรูปคดี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์