แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยและ ป. ผู้เสียหายเป็นพี่น้องกัน จำเลยมาขอยืมรถจักรยานยนต์ จากป. ป.ไม่ให้ จำเลยแสดงกิริยาเอะอะโวยวายแล้วต่อมาก็ได้มาเอารถจักรยานยนต์ไปขับขี่พาเพื่อนไปรับประทานอาหาร การกระทำของจำเลยในการเอารถจักรยานยนต์ไป เป็นเพียงการถือวิสาสะฉันพี่น้อง และเมื่อเอาไปแล้วก็มิได้พาหลบหนีแต่อย่างใด จำเลยจึงขาดเจตนาทุจริต ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339,340 ตรี, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ.2525 มาตรา 13 ประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องประสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิคำสั่งของคณะปฎิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไมัเพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฎิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 3, 6,7 ลงโทษฐานมีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน จำคุก6 เดือน และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 จำคุก 3 ปีรวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะในข้อหาลักทรัพย์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้เอารถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน อุทัยธานี ค – 3813 ราคา 16,000 บาท ที่นายช่อ ชื่นจันทร์ซื้อมาจากนายสอาด พุกเปี่ยม ในขณะที่จอดอยู่บนบ้านของนายช่อไป และในวันเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ดังกล่าวได้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกามีแต่เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ ทางพิจารณาโจทก์มีนายช่อเป็นพยานเบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 20 นาฬิกาพยานคุยกับนางเชิ้ม พุกเปี่ยม ที่บ้านของนางเชิ้มซึ่งห่างบ้านพยานประมาณ 100 เมตร ก็ได้ยินเสียงเอะอะและมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด พยานจึงวิ่งกลับบ้านเห็นจำเลยยืนอยู่ที่บันไดบ้านจำเลยร้องตะโกนให้นางประโลม ชื่นจันทร์ ภรรยาของพยานเปิดประตู แต่นางประโลมไม่ยอมเปิดให้จำเลยจึงเดินกลับไปบ้านของจำเลย นางประโลมจึงพาลูกวิ่งไปที่บ้านของนางเชิ้ม ต่อมาสักครู่หนึ่งจำเลยก็มาเอารถจักรยานยนต์ของพยานขับขี่ไปที่บ้านจำเลย จากนั้นจำเลยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของพยานไปทางอำเภอบางมูลนาก โดยมีคนนั่งซ้อนท้ายไป 2 คน เป็นผู้หญิง1 คน พยานนำความไปแจ้งต่อร้อยตำรวจตรีฉลองเกียรติ โรจน์ปัญญาคุปต์แล้วพาร้อยตำรวจตรีฉลองเกียรติออกติดตามจำเลยและจับจำเลยได้พร้อมรถจักรยานยนต์ที่ห้องอาหารในโรงแรมริมน่าน และนางประโลมพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ20 นาฬิกา ขณะที่พยานอยู่บ้านกับลูก จำเลยมาเรียกให้เปิดประตูแต่พยานไม่ยอมเปิด จำเลยถีบประตูแล้วพูดว่าจะเอารถถ้าไม่ให้จะยิงพยาน แล้วพยานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ตรงประตูหน้าบ้าน ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินจากไป พยานจึงพาลูกออกจากบ้านไปที่บ้านนางเชิ้มแล้วได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ พยานเป็นพี่สาวของจำเลย ก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยเคยมายืมเครื่องเล่นเทป วิทยุ รถจักรยานยนต์ เวลาจำเลยเมาสุรามายืมของ ถ้าพยานไม่ให้จำเลยจะโวยวายและทุกครั้งจำเลยก็เอาไปจนได้ ที่พยานให้ไปเพราะรำคาญ วันเกิดเหตุที่พยานไม่ให้ยืมก็เพราะกลัวรถจักรยานยนต์พัง เห็นว่าจำเลยเป็นน้องชายของนางประโลม และจำเลยก็เคยมายืมรถจักรยานยนต์และเครื่องเล่นเทปวิทยุ จากนางประโลม และจำเลยก็ได้แสดงกิริยาเอะอะโวยวายเมื่อยืมไม่ได้อันเป็นการแสดงความโกรธฉันพี่น้องกัน และจำเลยก็เพียงแต่เอารถจักรยานยนต์ไปขับขี่พาเพื่อนไปกินอาหารที่ร้านอาหารในโรงแรมริมน่านไม่ได้พาหลบหนีแต่อย่างใด การที่จำเลยเอะอะโวยวายเสียก่อนแล้วต่อมาจึงได้มาเอารถจักรยานยนต์ไปน่าจะเป็นการถือวิสาสะมากกว่า เพียงแต่ว่าถือวิสาสะฉันพี่น้องรุนแรงเกินไปจนกระทั่งนายชื่นและนางประโลมโกรธจึงได้นำความไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้จับกุมจำเลยมาดำเนินคดี หากจำเลยมีเจตนาทุจริตลักทรัพย์ จำเลยก็น่าจะเข้ามาเยี่ยงคนร้ายคือลอบเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้เจ้าของทรัพย์หรือผู้ครองครองทรัพย์รู้ตัวเพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์และพาทรัพย์ที่ลักหลบหนีไปการกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาทุจริต พยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อหาฐานลักทรัพย์ ศาลฏีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน