แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงประชาชนโดยอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343 ดังนี้ เมื่อศาลลงโทษจำเลยตามมาตรา 343 แล้ว ก็ไม่ต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 341 อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทุจริตหลอกลวงประชาชนว่าสามารถจัดส่งคนงานไปทำงานต่างประเทศได้ แต่ความจริงจำเลยไม่มีเจตนาและไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 ฯลฯจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 343 ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 2 กระทง มีกำหนด6 ปี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า นายจันทร์และนางเด่นนภา ศุภสารสาธร ได้หลอกลวงนายสุรัตน์ กอบผล นายเด็ด กองพล นายบิน คุนมาก นายบัวโฮม ทองสานายมอญ แก้วฟอง นายงาน แสงแก้ว ผู้เสียหายทั้งหกคนกับพวกว่าจะจัดส่งบุคคลเหล่านี้ไปทำงานต่างประเทศ บุคคลเหล่านี้หลงเชื่อจึงได้สมัครไปทำงานต่างประเทศและมอบเงินให้นายจันทร์และนางเด่นนภาคนละ 20,000 บาท ในที่สุดผู้เสียหายทั้งหกคนกับพวกก็ไม่ได้ไปทำงานต่างประเทศตามที่นายจันทร์และนางเด่นนภาให้สัญญาไว้ปัญหามีว่าจำเลยร่วมกับนายจันทร์และนางเด่นนภา กระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมาหรือไม่
โจทก์มีนายสุรัตน์ กอบผล นายเด็ด กองพล นายบิน คุนมากนายบัวโฮม ทองสา และนายมอญ แก้วฟอง ผู้เสียหายทั้งห้าคนมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมมือกับนางเด่นนภาและนายจันทร์ในการจัดหางานและจัดการให้พยานกับพวกไปทำงานยังต่างประเทศ โดยจำเลยอ้างว่าตนเองเป็นผู้จัดการบริษัท ที เอส สยาม ซัพพลายส์ จำกัดทั้งจำเลยเป็นผู้รับเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากพยานกับพวกด้วยโดยเฉพาะนายเด็ดและนายมอญได้เบิกความถึงรายละเอียดขณะชำระเงินว่าพยานทั้งสองได้มอบเงินให้นางเด่นนภาคนละ 20,000 บาท แล้วนางเด่นนภาส่งเงินให้จำเลยในทันทีนั้นเอง นอกจากนี้พยานโจทก์ทุกปากดังกล่าวก็เบิกความทำนองเดียวกันว่าจำเลยเป็นผู้ผัดผ่อนการเดินทางโดยหาเหตุต่าง ๆ นานา เช่นเดินทางไม่ได้เพราะคนงานในประเทศที่จะส่งไปทำงานนัดหยุดงาน หรือมีเหตุขัดข้องอย่างอื่นทั้งจำเลยยังเป็นผู้พาผู้เสียหายกับพวกออกจากโรงแรม 32 ไปพักยังบ้านหลังหนึ่งที่หมู่บ้านแสนสุขเพื่อรอการเดินทาง สำหรับนายมอญนั้นอ้างว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้ไปรับตนและคนงานอื่น ๆ จากจังหวัดเพชรบูรณ์ไปพักอาศัยที่โรงแรม 32 ในกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้นายบัวโฮมยืนยันว่า จำเลยเป็นคนหนึ่งที่ไปชักชวนพยานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ในเดือนเมษายน 2526 ให้ไปทำงานในต่างประเทศ พยานยังได้ชำระเงินให้จำเลยกับพวก 10,000 บาทในวันนั้น ต่อมาในวันที่ 1พฤษภาคม 2526 จำเลยกับพวกยังได้ไปหาพยานกับพวกที่บ้านในจังหวัดเพชรบูรณ์อีก แล้วพาพยานกับพวกเดินทางไปพักที่โรงแรม 32พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบล้วนบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยเป็นตัวการสำคัญในการหลอกลวงผู้เสียหายกับพวกให้ไปทำงานในต่างประเทศที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยเองก็ถูกนางเด่นนภาชักชวนไปทำงานต่างประเทศพร้อมกับพวกผู้เสียหายนั้นไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเดินทางดังเช่นพวกผู้เสียหายเลยซึ่งขัดต่อเหตุผล ที่จำเลยอ้างว่ามีสาเหตุชกต่อยกับนายสุรัตน์และนายงานนั้นก็ปรากฏว่าผู้เสียหายคนอื่น ๆก็เบิกความสอดคล้องต้องกันว่าจำเลยเป็นตัวการหลอกลวงพวกผู้เสียหายด้วย จึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำผิดจริงดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มาด้วยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะเมื่อลงโทษจำเลยตามมาตรา 343 แล้วก็ไม่ต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 341 อีก แต่เห็นสมควรระบุวรรคให้ชัดเจนด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก, 83, 91 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”