แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2497 และกฎ ก.พ. ฉบับที่ 60(พ.ศ. 2497) อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่จำเลยที่ 1ทำการสอบสวนโจทก์ผู้ถูกกล่าวหา มิได้กำหนดให้คณะกรรมการต้องสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาทราบ เพียงแต่แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบก็เป็นการเพียงพอแล้วส่วนการที่จะสอบพยานเพียงใดก็เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการที่จะงดสอบสวนพยานเมื่อจะทำให้การสอบสวนล่าช้าโดยไม่จำเป็นหรือมิใช่ประเด็นสำคัญ การดำเนินการสอบสวนของจำเลยที่ 1ที่มิได้สรุปพยานหลักฐานแจ้งให้โจทก์ทราบและมิได้สอบพยานเพิ่มเติม จึงเป็นการกระทำโดยชอบ และจำเลยที่ 2 ก็ได้พิจารณาออกคำสั่งไปตามสำนวนการสอบสวนดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์รับราชการในตำแหน่งเสมียนมหาดไทย ตั้งแต่ปี 2489 และครั้งสุดท้ายในปี 2518 ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอ (เจ้าหน้าที่ปกครอง 4)อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2518ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิได้แต่งตั้งจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นคณะกรรมการสอบสวนวินัยโจทก์ กรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอโท อำเภอคอนสวรรค์จังหวัดชัยภูมิ ได้ใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์เรียกร้องเงินจากนางแฝง หิรัญมูล 15,000 บาท และนายเรียง พ่วงลาภนายอำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ กล่าวหาว่าโจทก์มีพฤติการณ์อันทำให้เสื่อมเสียเกียรติต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ คณะกรรมการได้ดำเนินการสอบสวนตามที่กำหนดไว้ในกฎ ก.พ. ฉบับที่ 60 (พ.ศ.2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2497เมื่อสอบสวนเสร็จได้สรุปสำนวนการสอบสวนเสนอจำเลยที่ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2518โดยเสนอความเห็นว่าการกระทำของโจทก์น่าจะมีการทุจริต และกระทำการอย่างอื่นซึ่งไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ควรลงโทษให้ออกจากราชการ ตามมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2497 จำเลยที่ 2 เห็นชอบด้วย จึงมีคำสั่งให้ออกจากราชการ ตามคำสั่งจังหวัดชัยภูมิ ที่ 2486/2518 ลงวันที่ 19พฤศจิกายน 2518 แต่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ) เห็นว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ราชการและประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงการลงโทษให้ออกจากราชการ ยังไม่เหมาะสมกับกรณีความผิดและระดับโทษ จึงให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเปลี่ยนแปลงคำสั่งลงโทษเป็นให้ปลดออกจากราชการ โดยนายกรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย กระทรวงมหาดไทยจึงมีคำสั่งเพิ่มโทษโจทก์เป็นปลดออกจากราชการตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 682/2521 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2521 ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าจำเลยพิจารณาวินัยโจทก์ โดยอาศัยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2497 และ กฎ ก.พ.ฉบับที่ 60 (พ.ศ. 2497) ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ชอบเพราะขณะนั้นมีพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2518 และกฎ ก.พ. ฉบับที่ 6 ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าวออกใช้แล้ว โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6กุมภาพันธ์ 2518 และวันที่ 9 กันยายน 2518 ตามลำดับ ก.พ.ได้กำหนดตำแหน่งตามมาตรา 32 ของข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงมหาดไทย ในวันที่ 9 กันยายน 2518 การพิจารณาทางวินัยแก่โจทก์จึงต้องใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2518 และกฎ ก.พ.ฉบับที่(พ.ศ.2518) นั้น เห็นว่า แม้ตอนที่จังหวัดชัยภูมิ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยโจทก์จะมีพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 ประกาศใช้แล้วก็ตาม แต่มีบทเฉพาะกาลในมาตรา 117 วรรคแรกบัญญัติว่าในระหว่างที่ ก.พ. ยังมิได้กำหนดตำแหน่งข้าราชการพลเรือนตามมาตรา 32 ในส่วนราชการใด ให้นำพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2497 มาใช้บังคับแก่ข้าราชการพลเรือนในส่วนราชการนั้นไปพลางก่อน ทั้งนี้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมาตรา 121บัญญัติว่า เมื่อ ก.พ. ได้กำหนดตำแหน่งข้าราชการพลเรือนตามมาตรา 32 ในส่วนราชการใดแล้ว ข้าราชการพลเรือนในส่วนราชการนั้นผู้ใดมีกรณีกระทำผิดวินัยหรือกรณีที่สมควรให้ออกจากราชการก่อนวันที่ ก.พ. กำหนดตำแหน่งดังกล่าว ให้ผู้บังคับบัญชาตามพระราชบัญญัตินี้ดำเนินการเพื่อสั่งลงโทษผู้นั้นหรือสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ส่วนการสอบสวนพิจารณาให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่
1. ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้สอบสวนโดยถูกต้องตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้นไปก่อนวันที่ ก.พ. กำหนดตำแหน่งตามมาตรา 32 และยังสอบสวนไม่เสร็จก็ให้สอบสวนตามกฎหมายนั้นต่อไปจนกว่าจะเสร็จ ฯลฯ จึงเห็นได้ว่า กรณีของโจทก์นั้นจังหวัดชัยภูมิตั้งกรรมการสอบสวนวินัยก่อนที่ ก.พ. กำหนดตำแหน่งข้าราชการพลเรือนตามมาตรา 32 และเมื่อกำหนดตำแหน่งแล้ว การสอบสวนทางวินัยยังไม่เสร็จคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยจึงต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2497 และกฎ ก.พ ฉบับที่ 60 (พ.ศ. 2497) ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนที่ใช้อยู่ในขณะนั้นคือกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่สอบสวนโจทก์ ไม่ใช่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 และกฎ ก.พ. ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2518)อย่างที่โจทก์ฎีกา การสอบสวนตามกฎ ก.พ. ดังกล่าว มิได้กำหนดให้คณะกรรมการต้องสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาให้แก่ผู้ถูกกล่าวทราบ เพียงแต่แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบก็เป็นการเพียงพอแล้ว ส่วนการที่จะสอบพยานเพียงใด ก็เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการที่จะงดสอบสวนพยานเมื่อจะทำให้การสอบสวนล่าช้าโดยไม่จำเป็นหรือมิใช่ประเด็นสำคัญ การดำเนินการสอบสวนของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยชอบ และจำเลยที่ 2 ได้พิจารณาออกคำสั่งตามสำนวนการสอบสวนดังกล่าวย่อมไม่มีความผิดตามฟ้องแต่อย่างใด
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 สั่งให้ออกจากราชการโดยไม่ปฎิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518มาตรา 86 ทวิ(2) โดยต้องส่งเรื่องของโจทก์ให้ อ.ก.พ. จังหวัดพิจารณานั้น เห็นว่า เป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน