แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุ ร้านเสริมสวยของผู้เสียหายที่ 1 ยังเปิดให้บริการอยู่ ประชาชนทั่วไปรวมทั้งจำเลยทั้งสองมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ ไม่ถือเป็นเคหสถาน ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าไปในร้านดังกล่าวแล้วร่วมกันพยายามกรรโชก และใช้กำลังทำร้ายผู้เสียหายทั้งสอง จึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 337, 362, 364, 365, 391
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคสอง (1) ประกอบมาตรา 80, 391 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามกรรโชกทรัพย์ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี 4 เดือน ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคสอง (1) ประกอบมาตรา 80, 365 (2) ประกอบด้วยมาตรา 364, 391 ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานของผู้อื่น อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 มิใช่ผู้ลงมือใช้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญจะทำอันตรายต่อชีวิตของผู้เสียหายทั้งสองโดยตรง จึงให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ลดหลั่นลงจากโทษของจำเลยที่ 1 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 เดือน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ซื้อสลากกินรวบและถูกรางวัล จำเลยที่ 1 จึงเข้าใจและเชื่อโดยสุจริตเช่นชาวบ้านทั่ว ๆ ไปว่าตนเองจะได้รับเงินที่ถูกสลากกินรวบ จำเลยที่ 1 มีเจตนาเพียงทวงถามเงินค่าสลากกินรวบ กับถือได้ว่าการเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเหตุอันสมควร และจำเลยที่ 2 มิได้แบ่งหน้าที่กันทำในลักษณะตัวการร่วมนั้น เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองซื้อสลากกินรวบจากผู้เสียหายที่ 1 จำเลยทั้งสองย่อมทราบเป็นอย่างดีว่าเป็นการกระทำซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4 วรรคสอง, 12 (1) และไม่ก่อให้เกิดหนี้ในอันที่จะสามารถบังคับกันได้ตามกฎหมาย ยิ่งกว่านั้น แม้หากเป็นหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมายและลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ เจ้าหนี้ยังหาได้มีสิทธิที่จะทวงถามด้วยการข่มขืนใจให้ลูกหนี้ยอมชำระหนี้โดยการใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตของลูกหนี้ไม่ จึงไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยที่ 1 เข้าใจหรือเชื่อโดยสุจริตได้เลยว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะบังคับและข่มขู่ให้ผู้เสียหายที่ 1 ยอมชำระเงินค่าสลากกินรวบให้แก่จำเลยที่ 1 ด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตของผู้เสียหายที่ 1 เช่นนั้นได้ แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้ยอมที่จะให้เงินแก่จำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการพยายามกรรโชก สำหรับจำเลยที่ 2 เป็นผู้ที่ติดต่อซื้อสลากกินรวบจากผู้เสียหายที่ 1 หลังทราบว่าสลากถูกรางวัลได้โทรศัพท์ทวงเงินค่าสลากกินรวบจากผู้เสียหายที่ 1 ครั้นผู้เสียหายที่ 1 แจ้งว่าเงินรางวัลมีจำนวนมากเจ้ามือจะขอจ่ายเพียงครึ่งเดียวก่อน ก็ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ว่า ในคืนวันที่ 16 ตุลาคม 2551 จำเลยที่ 2 โทรศัพท์ข่มขู่ว่าจะพาเจ้าพนักงานตำรวจจากจังหวัดขอนแก่นไปจัดการผู้เสียหายที่ 1 เพื่อเอาเงินค่าสลากกินรวบให้ครบ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติการณ์ที่ต่อมาวันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 2 ไปที่ร้านของผู้เสียหายที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 1 และพวกอีกถึง 5 คน ไปด้วย ย่อมแสดงชัดว่าเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 รู้เห็นโดยมีเจตนาที่จะร่วมกับจำเลยที่ 1 และพวกไปขู่เข็ญกับใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อทวงถามเงินค่าสลากกินรวบจากผู้เสียหายที่ 1 มาตั้งแต่แรก มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 กระทำไปเองเพียงลำพัง คดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการพยายามกรรโชก และใช้กำลังทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย แต่สำหรับความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยไม่มีเหตุอันสมควรนั้น ได้ความว่า ขณะเกิดเหตุร้านเสริมสวยของผู้เสียหายที่ 1 ยังเปิดให้บริการอยู่ ประชาชนทั่วไปรวมทั้งจำเลยทั้งสองมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ ไม่ถือเป็นเคหสถาน ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาในประการสุดท้ายขอให้ลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดโทษเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงแก้ไขโทษให้เบาลง แต่การที่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นฝ่ายเจ้ามือรับกินรับใช้รับแทงพนันสลากกินรวบจากจำเลยที่ 2 แล้วบ่ายเบี่ยงการจ่ายเงินรางวัล ถือว่ามีส่วนกระทำความผิดกฎหมายอยู่ด้วย ทั้งการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันขู่เข็ญและใช้กำลังทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองด้วยการตบศีรษะมิได้รุนแรงมากนัก เพราะมิได้ใช้อาวุธและไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองเกิดอันตรายแก่กาย รวมทั้งมิได้มีการทุบทำลายทรัพย์สินในร้านเสริมสวย แสดงว่าจำเลยทั้งสองยังเกรงกลัวต่อกฎหมายอยู่บ้างและสามารถที่ระงับยับยั้งชั่งใจได้ในระดับหนึ่ง มิใช่เป็นการลุแก่โทสะหรืออำนาจบาตรใหญ่แล้วก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักแก่ผู้เสียหายทั้งสองจนเกินสมควรไปมาก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยรับโทษจำคุกหรือเคยประพฤติผิดเช่นนี้มาก่อน จึงเห็นสมควรปรานีโทษให้แก่จำเลยทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยทั้งสองเข็ดหลาบจึงให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดและปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 8,000 บาท และปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 4,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 4,000 บาท และปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยทั้งสองฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3