คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3873/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ ส. และพวกยกกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ 79 ตารางวาให้แก่โจทก์ ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ได้แสดงเจตนารับประโยชน์ตามสัญญาและครอบครองตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ต่อมาโจทก์มาฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกโดยอาศัยเหตุว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงเดียวกันกับคดีเดิมซึ่งมีเนื้อที่ดินทั้งหมด 114.4 ตารางวา โจทก์ฟ้องเรียกในคดีเดิม 79 ตารางวา ยังขาดอีก 35.4 ตารางวา จำเลยที่ 1 โอนที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งเจ็ดดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ ดังนี้ประเด็นสำคัญในคดีก่อนกับคดีนี้คือที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่ มีจำนวนเท่าใด คดีก่อนศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและการครอบครองปรปักษ์จนโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จะกลับมารื้อร้องฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ในคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ก็เป็นผู้สืบสิทธิมาจากจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นคู่ความเดียวกับคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๒๘๓ ตำบลโสนลอย (คลองพระราชาพิมล) อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๓๕.๔ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งเจ็ดรังวัดแบ่งแยกโฉนดเลขที่ ๖๒๘๓ จดทะเบียนโอนส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติขอให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย ห้ามจำเลยทั้งเจ็ดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยทั้งเจ็ดให้การว่า จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายสุวัฒน์ พุทธิการันต์ ยกที่ดินให้โจทก์บางส่วน เนื้อที่ ๗๙ ตารางวา ของโฉนดเลขที่ ๖๒๘๓ จำเลยที่ ๑ แบ่งแยกที่ดินที่ยกให้เป็นโฉนดเลขที่ ๑๑๘๗๒ ในนามจำเลยที่ ๑ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ ต่อมาโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญาดังกล่าวที่ศาลจังหวัดนนทบุรี ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๓๕๑/๒๕๒๒ คดีถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินเนื้อที่ ๗๙ ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ ๑๑๘๗๒ ให้แก่โจทก์แล้วฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ ได้รับการยกให้ที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบิดาโดยชอบ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์คดีก่อนระบุจำนวนเนื้อที่ดินที่ได้รับการยกให้แน่นอนแล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ ยกที่ดินส่วนที่เหลือจากการยกให้โจทก์ให้ทายาทอื่น การที่โจทก์กลับมาฟ้องเป็นคดีว่าที่ดินที่ตนได้รับการยกให้มีเนื้อที่มากกว่าที่โจทก์ฟ้องไว้แล้ว เป็นการวินิจฉัยเรื่องเดียวกันสองครั้ง ฟ้องโจทก์คดีนี้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๕๑/๒๕๒๒ ของศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ หรือไม่ ปรากฏว่า คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ว่า จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายสุวัฒน์ พุทธิการันต์ กับพวก ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๒๘๓ ตำบลโสนลอย (บางบัวทอง – คลองพระราชาพิมล) อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ประมาณ ๗๙ ตารางวา โดยให้ถือตามแนวเขตที่ดินตามเส้นสีแดงในแผนที่วิวาทให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาได้พิพากษาคดีถึงที่สุดว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งโจทก์ได้แสดงเจตนารับประโยชน์ตามสัญญา จำเลยมอบการครอบครองให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๙ จำเลยยึดถือที่ดินแทนโจทก์ โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๗๙, ๑๔๘๐/๒๕๒๔ ระหว่าง หม่อมหลวงแจ่ม อิศรางกูร โจทก์ นางประภาพร หรือประภาภรณ์ นทีตานนท์ จำเลย และระหว่าง วัดละหาร โจทก์ หม่อมหลวงแจ่ม อิศรางกูร หรืออิศรางกูร ณ อยุธยา จำเลย โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้โดยอาศัยเหตุว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงเดียวกันโดยอ้างว่า เนื้อที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ในคดีเดิมยกให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีเนื้อที่ทั้งหมด ๑๑๔.๔ ตารางวา โจทก์ฟ้องเรียกในคดีเดิม ๗๙ ตารางวา ยังขาดอีก ๓๕.๔ ตารางวา จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ โดยเสน่หา เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดดำเนินการขอรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นสำคัญในคดีก่อนกับคดีนี้คือที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่ มีเนื้อที่จำนวนเท่าใด คดีก่อนศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและการครอบครองปรปักษ์จนโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์กลับรื้อร้องฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๗ คดีนี้ในประเด็นที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีก แม้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ก็เป็นผู้สืบสิทธิมาจากจำเลยที่ ๑ ถือได้ว่าเป็นคู่ความเดียวกัน คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share