แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์ขอถอนฟ้องภายหลังจำเลยทั้งห้ายื่นคำให้การแล้วโดยไม่ใช่กรณีที่โจทก์ขอถอนฟ้องเนื่องจากมีข้อตกลง หรือประนีประนอมยอมความกับจำเลย จึงเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตหรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรอย่างไรก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 175 วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องเพื่อให้โจทก์ไปดำเนินการจัดทำแผนที่ที่ดินเพื่อนำคดีมาฟ้องใหม่ตามคำขอของโจทก์ ย่อมเป็นการตัดตอน และเป็นการระงับค่าเสียหายไปได้ช่วงหนึ่งก่อน อันเป็น ประโยชน์แก่คู่ความทั้งสองฝ่าย นับเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบ และเหมาะสมแล้ว แต่การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งห้า โดยไม่ได้ตรวจสอบที่ดินที่จะฟ้องให้แน่นอน เป็นเหตุให้ จำเลยทั้งห้าต่อสู้คดีและดำเนินกระบวนพิจารณา เสีย ค่าฤชาธรรมเนียมต่าง ๆ เรื่อยมา ถือได้ว่าเป็นการดำเนิน กระบวนพิจารณาที่ไม่จำเป็น อันเกิดเพราะความผิดหรือความประมาทเลินเล่อของฝ่ายโจทก์ สมควรที่โจทก์จะต้องรับผิด ในค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวแทนจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 และมาตรา 166
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 8 (ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 15) ตำบลเกาะขนุนอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ประมาณ 55 ไร่ต่อมาโจทก์นำพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการรังวัดออกโฉนดที่ดินปรากฏว่าจำเลยทั้งห้าคัดค้าน ขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งห้าเข้ารบกวนการครอบครองห้ามเข้าเกี่ยวข้องและคัดค้านการออกโฉนดที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งห้ายื่นคำให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่ของโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอออกโฉนดที่ดินพิพาทได้ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนคำฟ้องอ้างว่ารูปแผนที่ที่ดินท้ายคำฟ้องไม่ใช่รูปแผนที่ที่ดินที่โจทก์จะฟ้องโจทก์ขออนุญาตแก้ไขรูปแผนที่ที่ดินดังกล่าวแล้ว แต่ศาลไม่อนุญาตโจทก์จำเป็นต้องขอถอนคำฟ้องเพื่อจัดทำแผนที่ให้ถูกต้องและจะฟ้องจำเลยใหม่
จำเลยทั้งห้าแถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาคณะปกครองวินิจฉัยว่า”ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า”ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ โจทก์อาจถอนคำฟ้องได้โดยยื่นคำบอกกล่าวเป็นหนังสือต่อศาล” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ภายหลังจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์อาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่ออนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้ ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตหรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้ แต่ (1) ห้ามไม่ให้ศาลให้อนุญาต โดยมิได้ฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดถ้าหากมีก่อน(2) ในกรณีที่โจทก์ถอนคำฟ้อง เนื่องจากมีข้อตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลย ให้ศาลอนุญาตไปตามคำขอนั้น” กรณีคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ขอถอนฟ้องภายหลังจำเลยทั้งห้ายื่นคำให้การแล้วและไม่ใช่กรณีที่โจทก์ขอถอนฟ้องเนื่องจากมีข้อตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลย จึงเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตหรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรอย่างไรก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคสองเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินตามคำฟ้องของโจทก์ ไม่ใช่ที่ดินแปลงที่โจทก์ประสงค์จะฟ้องจำเลยทั้งห้าหรืออีกนัยหนึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าในที่ดินที่ผิดแปลง และโจทก์ได้ขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องในส่วนนี้แล้ว แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตเนื่องจากล่วงเลยเวลาที่จะอนุญาตได้ อันอาจเป็นเหตุให้ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งห้าเสียเวลา เสียค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยในชั้นสุดท้ายจะไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์เลย ซึ่งหากศาลใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ในกรณีเช่นนี้แล้ว ปล่อยให้คู่ความดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ความเสียหายดังกล่าวที่มีอยู่เดิมแล้วกลับจะเพิ่มทวีมากขึ้น ในที่สุดเมื่อศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ฟ้องคดีในที่ดินที่ผิดแปลงโจทก์ย่อมนำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งห้าเกี่ยวกับที่ดินแปลงที่พิพาทกันอย่างแท้จริงใหม่ได้ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องเสียเวลาเสียค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอีกอยู่ดี ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องเพื่อให้โจทก์ไปดำเนินการจัดทำแผนที่ที่ดินดังกล่าวเพื่อนำคดีมาฟ้องใหม่ตามคำขอของโจทก์ ย่อมเป็นการตัดตอนและเป็นการระงับค่าเสียหายดังกล่าวไปได้ช่วงหนึ่งก่อน อันเป็นประโยชน์แก่คู่ความทั้งสองฝ่าย นับเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบและเหมาะสมแล้วฎีกาของจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งห้าโดยไม่ได้ตรวจสอบที่ดินที่จะฟ้องให้แน่นอน เป็นเหตุให้จำเลยทั้งห้าต่อสู้คดีและดำเนินกระบวนพิจารณา เสียค่าฤชาธรรมเนียมต่าง ๆเรื่อยมา ถือได้ว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่จำเป็นอันเกิดเพราะความผิดหรือความประมาทเลินเล่อของฝ่ายโจทก์ สมควรที่โจทก์จะต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวแทนจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 และมาตรา 166″
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยทั้งห้าโดยกำหนดค่าทนายความให้ชั้นศาลละ 1,500 บาท