คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3871/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าเป็น “ตั๋วสัญญาใช้เงิน”คงมีแต่ข้อความว่าเป็น “ตั๋ว” เอกสารดังกล่าวจึงขาดสาระสำคัญของตั๋วสัญญาใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 983(1)จึงมิใช่ตั๋วสัญญาใช้เงิน โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้โดยอ้างเอกสารซึ่งมีข้อความว่าจำเลยจะจ่ายเงินตามคำสั่งของโจทก์โดยไม่มีถ้อยคำชัดว่าเป็นหนี้เงินกู้หรือหนี้อย่างอื่น โจทก์ย่อมจะนำพยานหลักฐานมาสืบประกอบว่าเป็นหนี้เงินกู้ได้ เมื่อโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงความเป็นหนี้ลงลายมือชื่อลูกหนี้แล้วและสืบพยานประกอบอธิบายได้ว่าหนี้นั้นเป็นหนี้สินแห่งการกู้ยืมเอกสารนั้นก็เป็นหนังสืออันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมแล้ว โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามหลักฐานเอกสารนั้นมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164(เดิม)ที่ใช้บังคับในขณะโจทก์ จำเลยมีข้อพิพาทกัน (มาตรา 193/30ที่แก้ไขใหม่) และในเรื่องอายุความนี้ มาตรา 169(เดิม)(มาตรา 193/12 ที่แก้ไขใหม่) บัญญัติว่า อายุความให้นับเริ่มแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป เมื่อจำเลยไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์ภายในวันที่ 15 มีนาคม 2519ตามที่ระบุในเอกสาร จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระเงินหรือปฏิบัติการชำระหนี้ใด ๆ ตามที่ระบุไว้ในเอกสารนั้น และการผิดนัดดังกล่าวเอกสารนั้นระบุให้มีผลว่าตั๋วหรือเอกสารนั้นถึงกำหนดได้ทันที และจ่ายเงินโดยไม่ต้องทวงถามสุดแล้วแต่ผู้ถือจะเลือกซึ่งมีความหมายว่า โจทก์มีสิทธิเลือกให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันทีโดยไม่ต้องทวงถามก่อน ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม2519 อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2530 นับจากวันที่ 16 มีนาคม 2519ถึงวันฟ้องเกิน 10 ปี ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ จำนวนเงิน25,000 เหรียญสหรัฐ ส่วนการชำระดอกเบี้ยงวดแรกซึ่งเป็นดอกเบี้ยสะสมในสามปีแรก จำเลยจะต้องชำระระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2518กับวันที่ 15 มีนาคม 2519 หลังจากนั้นดอกเบี้ยต้องชำระเป็นรายปีตามที่เกิดขึ้นภายใน 90 วัน นับจากวันครบรอบปีและหากผู้กู้ผิดนัดสัญญากู้เงินจะถึงกำหนดชำระทันทีโดยมิต้องทวงถามรายละเอียดปรากฏตามสัญญากู้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ จำเลยมิได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 64,428.64 เหรียญสหรัฐ
จำเลยให้การว่า การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ยืมเงินให้ไว้แก่โจทก์ ต้นฉบับเอกสารตามสำเนาท้ายฟ้องไม่ใช่สัญญากู้ยืมเงินแต่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งจำเลยออกชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินเรียกร้องให้จำเลยรับผิดฐานผิดสัญญากู้ยืมเงินได้ เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่หลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือตามที่กฎหมายกำหนด และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน เพราะสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนวน64,428.64 เหรียญสหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปีในต้นเงิน 53,589.72 เหรียญสหรัฐ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาข้อแรกที่ว่าเอกสารหมาย จ.2เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้นเห็นว่าเอกสารหมาย จ.2 นี้ ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าเป็น”ตั๋วสัญญาใช้เงิน” คงมีแต่ข้อความว่าเป็น “ตั๋ว” จึงขาดสาระสำคัญของตั๋วสัญญาใช้เงินตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 983(1) ที่บัญญัติว่าตั๋วสัญญาใช้เงินจะต้องมีคำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินเช่นนี้ จึงมิใช่ตั๋วสัญญาใช้เงิน ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาว่าเอกสารหมาย จ.2 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินหรือไม่นั้นเห็นว่าแม้ในเอกสารหมาย จ.2 จะไม่มีข้อความว่าจำเลยกู้เงินโจทก์แต่การที่เอกสารดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยจะจ่ายเงินตามคำสั่งของโจทก์รวม 25,000 เหรียญสหรัฐ ก็แสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ในจำนวนเงินดังกล่าวและหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์นั้นโจทก์ก็เบิกความยืนยันว่าเป็นหนี้เงินกู้ ซึ่งนางลัดดา พฤกษ์บำรุงพยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยยืนยันว่าเป็นเอกสารที่จำเลยเขียนมาด้วยตัวเองซึ่งจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นจึงฟังได้เช่นนั้นก็มีข้อความว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ 25,000 เหรียญสหรัฐ สอดคล้องกับข้อความในหนังสือโต้ตอบระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด ซึ่งมีข้อความสรุปได้ว่า จำเลยกู้เงินจากโจทก์ 25,000 เหรียญสหรัฐซึ่งจำเลยไม่นำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ 25,000 เหรียญสหรัฐจริง และได้ทำสัญญาจะชดใช้ให้โจทก์ไว้ โดยจำเลยได้ลงชื่อไว้ด้วย เอกสารหมาย จ.2 จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมที่จำเลยกู้จากโจทก์ 25,000 เหรียญสหรัฐฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาข้อที่สองที่ว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้นเห็นว่าเมื่อฟังว่าเอกสารหมาย จ.2 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินการที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามหลักฐานเอกสารหมาย จ.2จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164(เดิม) ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์จำเลยมีข้อพิพาทกัน(มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่) และในเรื่องอายุความนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 169 (เดิม) (มาตรา 193/12ที่แก้ไขใหม่) บัญญัติว่า อายุความให้นับเริ่มแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตามเอกสารหมาย จ.2กำหนดให้จำเลยชำระดอกเบี้ยงวดแรกซึ่งเป็นดอกเบี้ยสะสมสามปีระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2518 กับวันที่ 15 มีนาคม 2519และตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้เบื้องต้น จำเลยไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์เลย จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระเงินหรือปฏิบัติการชำระหนี้ใด ๆ ตามที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.2 ข้อ (ก)และการผิดนัดดังกล่าวระบุให้มีผลว่าตั๋วหรือเอกสารหมาย จ.2 ถึงกำหนดได้ทันที และจ่ายเงินโดยไม่ต้องทวงถามสุดแล้วแต่ผู้ถือจะเลือกซึ่งมีความหมายว่า โจทก์มีสิทธิเลือกให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันทีโดยไม่ต้องทวงถามก่อน ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2519 เป็นต้นไปหรือจะยังไม่ให้จำเลยชำระหนี้ก็ได้ มิได้มีความหมายว่าตราบใดที่โจทก์ยังไม่ทวงถาม โจทก์ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 เมื่อโจทก์มีสิทธิให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันทีตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2519 เป็นต้นไป อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 23ธันวาคม 2530 นับจากวันที่ 16 มีนาคม 2519 ถึงวันฟ้องเกิน 10 ปีฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share