คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3871/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เวลาประมาณ 23 นาฬิกาของคืนเกิดเหตุผู้ตายพกมีดปลายแหลมตัวมีดยาวคืบเศษ และเพื่อนผู้ตายถืออาวุธปืนมาร้องเรียกจำเลยให้ออกไปนอกบ้าน ถ้าไม่ออกไปจะเข้ามาฆ่าจำเลย เมื่อจำเลยไม่ยอมออกไป ผู้ตายถีบประตูระเบียงบ้านจำเลยอยู่ประมาณ 10 นาทีเพื่อจะพังเข้ามาทำร้ายจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย1 นัดในระยะห่างกันเพียง 3 วา พฤติการณ์ฟังได้ว่าผู้ตายกับพวกมีเจตนาจะเข้ามาทำร้ายจำเลย นับว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยชอบที่จะใช้สิทธิป้องกันตัวได้ และการที่จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงเพียง 1 นัดในทันทีนั้น เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่6)พ.ศ. 2526 มาตรา 5 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,72 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21ตุลาคม 2519 ข้อ 6 และสั่งคืนปืนลูกซองของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 69, 91, 59 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 6 ลงโทษในข้อหามีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ3,000 บาท จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงปรับ 1,500 บาท ลงโทษในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแต่กระทำไปเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุจำคุก 4 ปี คืนปืนของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ผู้ตายกับพวกได้ไปที่หน้าบ้านจำเลย จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยิงมา 1นัดถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดตามโจทก์ฟ้องหรือไม่ ได้ความจากนางอารมย์ สวนจันทร์ ภรรยาจำเลยพยานโจทก์ว่า คืนเกิดเหตุพยานจำเลย และบุตร 5 คนนอนอยู่ที่บ้าน เวลาประมาณ 23 นาฬิกา ได้ยินเสียงผู้ตายมาเรียกให้จำเลยออกไปนอกบ้านผู้ตายร้องขู่ว่าถ้าไม่ออกไปจะเข้ามาฆ่าจำเลย จำเลยไม่ยอมออกไปพบผู้ตาย พยานออกจากห้องนอนมาดูที่ระเบียบและถามผู้ตายว่ามากับใคร ผู้ตายว่ามากับเพื่อน ผู้ตายถือขวดเหล้าส่วนเพื่อนผู้ตายยืนถือปืนอยู่ข้างโอ่งน้ำ พยานถามว่ามาธุระอะไร ผู้ตายว่าต้องการพบจำเลยเท่านั้น ผู้ตายถีบประตูระเบียงอยู่ประมาณ 10 นาที จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้ตาย ได้ความจากนายภิญโญ สมสุข ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลขนาบนาก อำเภอปากพนังจังหวัดนครศรีธรรมราช ท้องที่เกิดเหตุว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยมาแจ้งความว่านายสมควรญาติผู้ตายได้ฟันต้นกล้วย ต้นมะพร้าวของจำเลยเสียหาย และคืนก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้บุกรุกเข้าไปที่บ้านจำเลยเพื่อจะฆ่าจำเลย ผู้ตายเวลาเมาชอบข่มขู่ชาวบ้านรูปคดีฟังได้ว่า ก่อนคืนเกิดเหตุผู้ตายเข้าไปที่บ้านจำเลยครั้งหนึ่งแล้ว จำเลยซ่อนตัวอยู่ไม่ยอมพูด ภรรยาจำเลยแกล้งบอกว่าจำเลยไม่อยู่ ผู้ตายจึงกลับไป คืนเกิดเหตุเมื่อผู้ตายกับพวกมาที่หน้าบ้านจำเลย ผู้ตายร้องเรียกจำเลยพร้อมทั้งขู่จะฆ่า เมื่อจำเลยไม่ยอมออกไปนอกบ้าน ผู้ตายจึงพังประตูระเบียบเพื่อจะเข้ามาทำร้ายจำเลย ขณะนั้นเองจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด ถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ปรากฏว่าผู้ตายพกมีดปลายแหลมเฉพาะตัวมีดยาวคืบเศษ และเพื่อนของผู้ตายมีอาวุธปืนมาด้วย เห็นว่า ผู้ตายกับพวกมีอาวุธทั้งมีดและปืนตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าผู้ตายกับพวกมีเจตนาจะเข้ามาทำร้ายจำเลยภรรยาจำเลยขอร้องให้ผู้ตายกลับไปก็ไม่ยอม ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย โดยบุกรุกเข้ามาในบ้านจำเลยในยามวิกาล ได้พยายามพังประตูระเบียงบ้านเข้ามาจะทำร้ายจำเลย เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายได้พังประตูและกำลังเข้ามาในบ้าน ขณะนั้นผู้ตายอยู่ห่างจำเลยเพียง 3 วา นับว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแล้วถ้าปล่อยให้ผู้ตายกับพวกเข้ามาถึงตัวจำเลย จำเลยต้องถูกทำร้ายแน่ จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิป้องกันตัวได้ และการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเพียง 1 นัดในทันทีนั้น การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share