แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยใช้หรืออ้างสัญญาเงินกู้ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิปลอมก็เพื่อนำคดีไปฟ้องศาล ต่อมาที่จำเลยเข้าเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาว่าโจทก์สั่งจ่ายเช็คจำนวน 3 ฉบับ เพื่อชำระหนี้เงินกู้ แม้จะเป็นความเท็จแต่จำเลยกระทำโดยมีเจตนาที่จะให้ศาลพิพากษาลงโทษโจทก์ตามฟ้องเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยในความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอมกับความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 177, 264, 265, 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง, 264 วรรคสอง, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเบิกความเท็จ จำคุก 1 ปี ฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 แต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเบิกความเท็จ จำคุก 6 เดือน ฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์พยานหลักฐานในคดีข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเดิมจำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลแขวงสงขลาว่า โจทก์ทำสัญญาเงินกู้จากจำเลยและออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้จำเลยไว้จำนวน 3 ฉบับ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 3 ฉบับ ขอให้ลงโทษโจทก์ในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ศาลวินิจฉัยว่า สัญญาเงินกู้ที่จำเลยนำมาอ้างว่าโจทก์ทำขึ้นในการกู้เงินไปจากจำเลยและออกเช็คชำระหนี้เงินกู้ให้เป็นเอกสารปลอมและเช็ค 3 ฉบับที่จำเลยนำมาฟ้องให้ศาลลงโทษโจทก์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เป็นเช็คที่โจทก์ออกให้เพื่อค้ำประกันค่าซื้อที่ดินและค่ารถแทรกเตอร์ จึงพิพากษายกฟ้องจำเลย คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกคือ จำเลยเป็นผู้ปลอมสัญญาเงินกู้หรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นว่า เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่ามีการส่งมอบเงินกู้ตามสัญญา จำเลยไม่ได้มอบเงินให้โจทก์ เชื่อว่าเมื่อจำเลยไม่ได้มอบเงินให้โจทก์วันที่โจทก์ลงชื่อในสัญญาเงินกู้ สัญญาเงินกู้จึงยังไม่ได้กรอกข้อความ การที่จำเลยนำสัญญาเงินกู้ไปกรอกข้อความโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธินั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับข้อวินิจฉัยดังกล่าว เพราะโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมหรือให้ผู้หนึ่งผู้ใดปลอมเอกสารเงินกู้ เมื่อจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด ย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานปลอมสัญญาเงินกู้ไม่ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิในความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอม จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นหนี้จำเลยอยู่จำนวน 7,500,000 บาท และโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ไว้เกือบครบ ภริยาของโจทก์ยังลงชื่อค้ำประกันสัญญาเงินกู้ไว้ด้วย ทำให้เห็นว่าข้อความในสัญญาเงินกู้พิมพ์ข้อความลงไปโดยโจทก์รู้เห็นยินยอมจึงไม่เป็นเอกสารปลอม เมื่อจำเลยนำไปใช้หรืออ้างไม่เป็นการใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาว่าสัญญาเงินกู้เป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริง ตามที่ศาลแขวงสงขลาได้วินิจฉัยไว้และคำวินิจฉัยดังกล่าวถึงที่สุดแล้วว่าสัญญาเงินกู้เป็นเอกสารปลอม ดังนั้น จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวจะมาโต้แย้งในฎีกาว่าสัญญาเงินกู้ไม่ใช่เอกสารปลอมอีกไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยนำสัญญาเงินกู้อันเป็นเอกสารสิทธิปลอมไปใช้ในการฟ้องโจทก์ขอให้ศาลลงโทษในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เป็นการนำเอกสารสิทธิปลอมไปใช้หรืออ้างครบถ้วนตามองค์ประกอบของความผิดแล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา จำเลยฎีกาว่าสัญญาเงินกู้ไม่ใช่เอกสารปลอม หนี้ตามสัญญาเงินกู้เป็นหนี้ที่มีอยู่จริง โจทก์ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่จำเลย และไม่ว่าเช็คทั้ง 3 ฉบับจะออกให้เพื่อชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้หรือชำระหนี้ค่าที่ดินและค่าเครื่องจักรก็ล้วนแต่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเบิกความในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาลแขวงสงขลายืนยันตามฟ้องว่าเช็คทั้ง 3 ฉบับ เป็นเช็คที่โจทก์ออกให้เพื่อชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลยมิใช่ชำระหนี้ค่าที่ดินและค่าเครื่องจักร เมื่อสัญญาเงินกู้เป็นเอกสารปลอม คำเบิกความของจำเลยย่อมเป็นความเท็จและเป็นข้อสาระสำคัญในคดี เพราะหากศาลแขวงสงขลาฟังว่าเช็ค 3 ฉบับ โจทก์ออกให้เพื่อชำระหนี้เงินกู้ ศาลแขวงสงขลาอาจพิพากษาลงโทษจำคุกโจทก์ได้ ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาต่อมาว่าการกระทำของจำเลยในความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอมกับความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทนั้น ในปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นว่า ความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอมเกิดขึ้นเนื่องจากจำเลยได้นำเอกสารสิทธิที่ปลอมไปใช้ เป็นความผิดที่เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยจะเบิกความ จึงเป็นความผิดคนละกรรมกับความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะการที่จำเลยใช้หรืออ้างสัญญาเงินกู้ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิปลอมก็เพื่อนำคดีไปฟ้องศาล ต่อมาที่จำเลยเข้าเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาว่าโจทก์สั่งจ่ายเช็คจำนวน 3 ฉบับ เพื่อชำระหนี้เงินกู้ แม้จะเป็นความเท็จแต่จำเลยกระทำโดยมีเจตนาที่จะให้ศาลพิพากษาลงโทษโจทก์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลต้องลงโทษในความผิดฐานเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เพียงกระทงเดียวฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสอง และมาตรา 265 และไม่เรียงกระทงลงโทษจำเลยการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9