คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3865/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ท้องที่เกิดเหตุโดยหน้าที่ราชการจะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการพิจารณาคำขอและตรวจสอบที่ดินของผู้ยื่นคำขอเสียก่อน สภาพที่ดินเป็นทุ่งนาไม่มีต้นไม้ ส่วนตอไม้ที่พบนั้นอยู่ในที่ดินที่มีหลักฐานเป็นใบจอง เจ้าของที่ดินก็ไม่เคยยื่นคำขอนำไม้ ถ้าจำเลยตรวจสอบและเรียกเจ้าของที่ดินที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้ยื่นคำขอนำไม้ มาสอบถามก็จะทราบความจริงว่าคำขอนั้นเป็นเท็จและจำเลยก็ไม่เคยสอบถามคณะกรรมการการตรวจสอบไม้ว่า ผู้ยื่นคำขอมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยแท้จริงหรือไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ของเจ้าพนักงานป่าไม้
ทางราชการกรมป่าไม้ กรมที่ดิน และกระทรวงมหาดไทย ได้ตราระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้แล้วนำมาสวมรอยอ้างว่าเป็นไม้ที่เจ้าพนักงานได้ตรวจและอนุญาตให้ตัด การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้กระทำหรือยอมให้น้องชายจำเลยนำดวงตราประทับไม้ประจำตัวจำเลยไปกระทำการตีรอยตราดังกล่าว เป็นการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่จำเลยย่อมเล็งเห็นผลเสียหายของการกระทำนั้นได้ และเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว จำเลยจะอ้างว่ากระทำไปโดยสุจริตหรือกระทำไปโดยความสำคัญผิดหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91, 157, 160, 161, 162, 264, 265, 268 ริบของกลางและนับโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 746/2532 ของศาลชั้นต้น และนับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 4 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1187/2530 ของศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 160 ให้จำคุก 3 ปี ริบของกลางข้อหาและคำขออื่นให้ยกและให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 6

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดไม้กระบก 2 ท่อน ไม้แดง 1 ท่อน ซึ่งตัดฟันมาโดยผิดกฎหมาย บนหน้าตัดของไม้ท่อนดังกล่าวและตอไม้มีรอยตราประทับไว้ ต.4007 ซึ่งเป็นตราประทับไม้ประจำตัวของจำเลยที่ 3 ประทับอยู่

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ประการแรกว่าจำเลยที่ 3 กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ โดยใช้ดวงตราหรือรอยตราประทับไม้ประจำตัวของจำเลยที่ 3 ประทับไม้ของกลาง หรือยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้นอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160 หรือไม่ ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 เชื่อโดยสุจริตว่าไม้ของกลางเป็นไม้ที่ได้มาจากที่ดินของนายแพงโดยถูกต้อง เพราะไม้ของกลางที่จำเลยที่ 3 ไปตรวจสอบอยู่ในที่ดินของนายแพงผู้ยื่นคำขอ จึงประทับตราลงในไม้ของกลางโดยสุจริตนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ท้องที่เกิดเหตุโดยหน้าทีราชการจะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการพิจารณาคำขอและตรวจสอบที่ดินของผู้ยื่นคำขอเสียก่อน จะอ้างว่าเชื่อโดยสุจริตอย่างเดียวไม่ได้ ทั้งข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไว้แล้วว่าสภาพที่ดินเป็นทุ่งนาไม่มีต้นไม้แต่อย่างใด ส่วนตอไม้ที่พบนั้นอยู่ในที่ดินของนายแพงที่มีหลักฐานเป็นใบจอง นายแพงก็ไม่เคยยื่นคำขอนำไม้แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงชี้ชัดถึงเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลยที่ 3 เพราะถ้าจำเลยที่ 3 ตรวจสอบและเรียกนายแพงที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้ยื่นคำขอนำไม้ตามเอกสารหมาย ป.จ.3(ศาลจังหวัดจันทบุรี) มาสอบถามก็จะทราบความจริงว่าคำขอนั้นเป็นเท็จ และก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เคยสอบถามคณะกรรมการตรวจสอบไม้ ซึ่งมีจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมอยู่ด้วยว่า ผู้ยื่นคำขอมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยแท้จริงหรือไม่ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นเครื่องบ่งชี้เจตนาว่าเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ของเจ้าพนักงานป่าไม้

ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ที่นายพินิจ สุวรรณศรี พยานโจทก์เบิกความว่า เคยซื้อไม้ในอำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร โดยวิธีติดต่อกับชาวบ้านที่จะขายไม้ในที่ดินกรรมสิทธิ์โดยขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินไปถ่ายสำเนา แล้วให้ชาวบ้านลงชื่อในแบบพิมพ์ขอนำไม้เคลื่อนย้ายไปใช้ประโยชน์แล้วพยานจะนำแบบพิมพ์ดังกล่าวไปให้นายจองมี พันธุที กรอกข้อความจำนวนไม้ให้ถูกต้องตามที่เจ้าของไม้บอก หลังจากนั้นก็จะตัดไม้ในที่ดินของชาวบ้านแล้วให้นายประสิทธิ์น้องชายจำเลยที่ 3 นำดวงตราประทับไม้ประจำตัวของจำเลยที่ 3 มาตีตราประทับไม้นั้น จำเลยที่ 3 ฎีกาอ้างว่า จากคำเบิกความของนายพินิจดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 3 มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายของนายประสิทธิ์ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิดนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ต้องมีความสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบของคนที่จะต้องรักษาดวงตราประทับไม้ประจำตัวของตนไว้ในที่ปลอดภัยป้องกันมิให้ผู้อื่นแอบลอบนำเอาดวงตราประทับไม้ดังกล่าวไปใช้หรือยินยอมให้ผู้อื่นนำไปใช้แสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้น เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของนายพินิจพยานโจทก์ดังกล่าวแล้วพฤติการณ์แห่งคดีส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับนายประสิทธิ์น้องชายจำเลยที่ 3 ให้นำดวงตราประทับไม้ประจำตัวจำเลยที่ 3 ไปตีตราประทับที่ไม้ในที่ดินที่มีคำขอของไม้ดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงไม่พ้นผิดตามฟ้องไปได้

ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 160 จำเลยที่ 3 จะต้องรู้ข้อเท็จจริงมาก่อนว่าไม้ของกลางเป็นไม้ที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แล้วจำเลยที่ 3 ตีประทับดวงตรารอยตราประจำตัวจำเลยที่ 3 ไว้ที่ไม้ของกลางหรือมอบให้บุคคลอื่นกระทำแทน จึงจะเป็นความผิดนั้น เห็นว่า ทางราชการกรมป่าไม้ กรมที่ดิน และกระทรวงมหาดไทย ได้ตราระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติราชการเกี่ยวด้วยการนี้ไว้เพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้แล้วนำมาสวมรอยอ้างว่าเป็นไม้ที่เจ้าพนักงานได้ตรวจและอนุญาตให้ตัดการที่จำเลยที่ 3 กระทำหรือยอมให้น้องชายจำเลยที่ 3 นำดวงตราไปกระทำการตีรอยตราดังกล่าว เป็นการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ จำเลยที่ 3 ย่อมเล็งเห็นผลเสียหายของการกระทำนั้นได้ และเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว จำเลยที่ 3 จะอ้างว่ากระทำไปโดยสุจริตหรือกระทำไปโดยความสำคัญผิดหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share