แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์กับเจ้าพนักงานตำรวจผู้รู้เห็นเหตุการณ์ร่วมกับสายลับย่อมเป็นพยานโดยตรงอยู่แล้ว หาจำต้องนำสายลับมาเป็นพยานอีกไม่ เพราะโดยลักษณะความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษย่อมจะต้องใช้สายลับเป็นผู้ล่อซื้อ จึงมีความจำเป็นต้องปกปิดตัวสายลับเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งเพื่อประโยชน์ด้านการปฏิบัติงานครั้งต่อ ๆ ไปด้วยการไม่นำสายลับมาเป็นพยานหาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์น้ำหนักลดน้อยลงไม่
การที่สายลับเข้าทำการล่อซื้อฝิ่นจากจำเลยทั้งสอง ยังไม่มีการชำระเงินและส่งมอบฝิ่นของกลางให้แก่กัน แต่จำเลยทั้งสองถูกจับพร้อมด้วยฝิ่นของกลางเสียก่อนดังนั้นการซื้อขายยังไม่เสร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยผิดกฎหมายเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 17, 69, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 33 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง และวรรคสองมาตรา 69 วรรคสอง และวรรคสี่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำผิดฐานมีฝิ่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายฝิ่นดังกล่าวของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 12 ปี ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองพร้อมกับยึดถุงปุ๋ย2 ถุง บรรจุฝิ่นจำนวน 28 ห่อเล็ก เป็นของกลาง โดยฝิ่นของกลางได้ส่งไปตรวจพิสูจน์แล้วปรากฏว่าเป็นฝิ่นดิบน้ำหนัก 41.400 กิโลกรัม มีปริมาณแอนไฮดรัสมอร์ฟีนร้อยละ 3.59ซึ่งคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ของฝิ่นได้ 1.486 กิโลกรัม ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย ปจ.2 (ศาลอาญากรุงเทพใต้) คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจพูนศักดิ์เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า พยานได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้สืบสวนหาผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในเขตจังหวัดนครพนม ต่อมาจำเลยที่ 1ซึ่งรู้จักกันมาก่อนขอให้พยานติดต่อหาพ่อค้ามาซื้อฝิ่นจากจำเลยที่ 1 แล้วจะแบ่งเงินให้พยานได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ วันที่ 13 สิงหาคม 2536 พยานพาสายลับไปล่อซื้อฝิ่น โดยไปพบจำเลยทั้งสองที่เขื่อนน้ำอูน อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร สายลับขอซื้อฝิ่นจำนวน 150 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 5,700 บาท จำเลยทั้งสองนัดหมายให้ไปพบในวันที่ 25 สิงหาคม 2536 เพื่อทราบว่าจะสามารถจัดหาฝิ่นให้ได้หรือไม่ เมื่อถึงวันนัดพยานกับสายลับไปพบจำเลยทั้งสองที่เขื่อนน้ำอูนอีกครั้งจำเลยทั้งสองแจ้งว่าสามารถจัดหาฝิ่นได้ แต่ให้พยานกับสายลับไปติดต่อที่อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนมในวันที่ 31 เดือนเดียวกัน ครั้นถึงวันนัดพยานกับสายลับไปพบกับจำเลยทั้งสองตามนัดหมาย จำเลยทั้งสองแจ้งว่าได้ฝิ่นจำนวน 50 กิโลกรัม และจะส่งมอบในวันที่ 2 กันยายน 2536 เวลา 1 นาฬิกา ที่ทางแยกเข้าบ้านนาดี ตำบลโพนทอง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม แต่ขอให้พยานกับสายลับแสดงเงินให้ดูในวันที่ 1 กันยายน 2536 เวลาประมาณ22 นาฬิกา ที่ทางเข้าบ้านโคกสายทอง อำเภอบ้านแพง วันที่ 1 กันยายน 2536 พลตำรวจตรีปราโมทย์จึงประชุมเจ้าพนักงานตำรวจร่วมวางแผนจับกุม โดยให้พยานกับสายลับนำเงินจำนวน 285,000 บาท ไปแสดงและรับฝิ่น ทั้งมอบให้ร้อยตำรวจเอกสามารถกับพวกไปซุ่มจับกุมบริเวณที่นัดส่งมอบฝิ่น หลังจากนั้นพยานไปพบจำเลยทั้งสองตามที่นัดหมายแสดงเงิน โดยสายลับตามไปภายหลังและแสดงเงินให้จำเลยทั้งสองดู แล้วจำเลยที่ 1 พาสายลับขึ้นรถยนต์ไปดูจุดส่งของนานประมาณ 5 นาทีก็กลับมาจากนั้นสายลับเดินทางกลับ ส่วนจำเลยทั้งสองพาพยานไปบ้านนายจำรัสหรือเงือกที่บ้านลาด ตำบลบ้านแพง อำเภอบ้านแพง ไปถึงบ้านเวลา 22.30 นาฬิกา พบนายจำรัสหรือเงือกและท้าวบุญยงค์ นายจำรัสหรือเงือกบอกพยานว่า ฝิ่นเข้ามาจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้ว ขอให้พยานนำฝิ่นบรรทุกรถยนต์กระบะของพยานไปส่ง แต่พยานปฏิเสธอ้างว่าเจ้าพนักงานตำรวจจะจับกุมเนื่องจากยังไม่ถึงเวลานัดหมาย ให้นายจำรัสหรือเงือกนำฝิ่นไปส่งที่ทางโค้งบ้านม่วงชี แล้วพยานพาจำเลยทั้งสองและท้าวบุญยงค์นั่งรถยนต์ของพยานไปในตลาดอำเภอบ้านแพง จนเวลา 0.30 นาฬิกาของวันที่ 2 กันยายน 2536 พยานขับรถไปถึงทางโค้งบ้านม่วงชี จำเลยทั้งสองกับท้าวบุญยงค์พากันลงจากรถไปพบนายจำรัสหรือเงือก ซึ่งนำฝิ่นมารออยู่ พยานบอกว่าจะขับรถดูเส้นทางเพื่อความปลอดภัย แล้วพยานขับรถไปที่ทางแยกเข้าบ้านนาดีและแจ้งต่อร้อยตำรวจเอกสามารถว่า จะมีการส่งมอบฝิ่นแน่นอน และนัดหมายให้สัญญาณเข้าจับกุม จากนั้นพยานขับรถกลับไปที่บ้านม่วงชี และขอดูฝิ่นบรรจุในถุงปุ๋ยรวม 2 ถุงซึ่งนายจำรัสหรือเงือกแจ้งว่ามีจำนวน 28 ห่อเล็ก น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ภายหลังพยานตรวจดูแล้ว จำเลยทั้งสองช่วยกันยกฝิ่นถุงหนึ่ง นายจำรัสหรือเงือกกับท้าวบุญยงค์ช่วยกันยกฝิ่นอีกถุงหนึ่งขึ้นวางบนกระบะรถของพยาน แล้วจำเลยทั้งสองได้นั่งบนกระบะรถ ส่วนนายจำรัสหรือเงือกและท้าวบุญยงค์นัดไปรอรับเงินที่บ้านนายจำรัสหรือเงือกหลังจากนั้นพยานขับรถไปที่ทางแยกเข้าบ้านนาดีโดยถอยรถยนต์เข้าไปจอดในทางแยกและไม่ได้ปิดไฟหน้ารถ จำเลยทั้งสองต่างยกถุงปุ๋ยลงจากรถ พยานจึงให้สัญญาณเข้าจับกุม ร้อยตำรวจเอกสามารถกับพวกจึงเข้าจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับของกลางดังกล่าว เห็นว่า พยานโจทก์ข้างต้นเบิกความลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ติดต่อซื้อกันหลายครั้งนัดหมายดูเงินตลอดจนสถานที่ส่งมอบฝิ่นได้เชื่อมโยงกันสมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถ้อยคำไม่มีข้อพิรุธว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำตกแต่งเรื่องขึ้นใส่ร้ายจำเลยทั้งสอง จึงมีน้ำหนักรับฟังเป็นความจริง นอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอกสามารถ จ่าสิบตำรวจสุรพล และสิบตำรวจโทวิสันต์ ผู้ร่วมจับกุมต่างเบิกความเป็นพยานยืนยันได้สอดคล้องต้องกันว่าพยานทั้งสามกับพวกไปซุ่มจับกุมตามนัดหมาย และจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยของกลางโดยจ่าสิบตำรวจสุรพลเป็นผู้จับจำเลยที่ 1 ขณะกำลังถือถุงปุ๋ย 1 ถุงลงจากกระบะท้ายรถ ส่วนสิบตำรวจโทวิสันต์เป็นผู้จับจำเลยที่ 2 ขณะกำลังถือถุงปุ๋ย 1 ถุงลงจากกระบะท้ายรถเช่นกัน กรณีจึงสนับสนุนถ้อยคำของจ่าสิบตำรวจพูนศักดิ์ให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น สำหรับจำเลยทั้งสองก็นำสืบยอมรับว่าจำเลยทั้งสองถูกจับพร้อมด้วยถุงปุ๋ย 2 ถุง บรรจุฝิ่นของกลางจริง อันเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 รู้จักกับจ่าสิบตำรวจพูนศักดิ์ว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะกล้ากระทำความผิดรายนี้นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะรู้ว่าจ่าสิบตำรวจพูนศักดิ์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจก็ดี แต่จำเลยที่ 1 ก็เบิกความยอมรับว่าจ่าสิบตำรวจพูนศักดิ์อ้างว่ารับราชการยากจน และจำเลยที่1 เป็นผู้พาจ่าสิบตำรวจพูนศักดิ์ไปติดต่อซื้อฝิ่นจากนายจำรัสหรือเงือก น้องชายของจำเลยที่ 1 เอง ส่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดคราวนี้ ประกอบกับข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ก่อนจับกุมจำเลยทั้งสองจ่าสิบตำรวจพูนศักดิ์กับสายลับได้มีการติดต่อนัดหมายกับจำเลยทั้งสองกับพวกในที่ต่าง ๆ กันหลายครั้งหลายวันย่อมทำให้จำเลยทั้งสองเชื่อโดยสนิทใจว่าจ่าสิบตำรวจพูนศักดิ์ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยทั้งสองและพวกจริง ข้ออ้างข้อนี้ของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้นที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้นำสายลับมานำสืบเป็นพยานและไม่ยอมเปิดเผยชื่อสายลับ จึงเชื่อไม่ได้นั้น เห็นว่า โจทก์มีจ่าสิบตำรวจพูนศักดิ์ซึ่งเป็นผู้รู้เห็นร่วมกับสายลับโดยตรงเป็นพยานอยู่แล้ว กรณีหาจำเป็นต้องนำสายลับมาเป็นพยานอีกอย่างใดไม่ เพราะโดยลักษณะของความผิดย่อมจะต้องใช้สายลับเป็นผู้ล่อซื้อ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องปกปิดตัวสายลับเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งการไม่ยอมเปิดเผยตัวสายลับก็เพื่อประโยชน์ด้านการปฏิบัติงานครั้งต่อ ๆ ไปด้วย การไม่นำสายลับมาเป็นพยานไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ต้องลดน้ำหนักแต่ประการใด ข้ออ้างข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ดังนี้ ตามพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดรายนี้ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในคดีนี้ปรากฏว่ายังไม่มีการชำระเงินและส่งมอบฝิ่นของกลางให้แก่กัน จำเลยทั้งสองก็ถูกจับพร้อมด้วยฝิ่นของกลางเสียก่อน จึงถือว่าการซื้อขายยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองคงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยผิดกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นยังไม่ถูกต้อง แม้ปัญหานี้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสองและวรรคสี่ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสองและวรรคสี่ อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1