คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3856/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเพียงผู้ขับรถจักรยานยนต์ที่ บ. นั่งซ้อนท้ายตามรถจักรยานยนต์ที่พ. ขับ และผู้เสียหายทั้งสองนั่งซ้อนท้ายไป เมื่อ พ. หยุดรถ บ. เป็นผู้เข้าไปข่มขู่ผู้เสียหายทั้งสองกับ พ. แต่จำเลยไม่ได้ร่วมข่มขู่บังคับผู้เสียหายทั้งสองแต่ประการใดผู้เสียหายทั้งสองสมัครใจยินยอมให้ พ. ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่บ้านขณะที่จำเลยขับรถตามไปทัน ผู้เสียหายที่ 1 บอก พ. ไม่ต้องหยุดรถ พ. ก็ไม่หยุด บ. บอกให้ พ. ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวา พ. ไม่ยอมทำตามจน บ. ต้องใช้อาวุธปืนขู่แม้ บ. กับ พ. ร่วมมือกัน แต่ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำอนาจารหรือลวนลามทางเพศต่อผู้เสียหายทั้งสอง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานร่วมกันพาผู้เสียหายทั้งสองไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก และฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ดูแลโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318 วรรคสาม แต่การที่จำเลยเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ให้ บ. นั่งซ้อนท้ายไปด้วยกัน และจำเลยจอดรถจักรยานยนต์ให้ บ. ลงจากรถไปและใช้อาวุธปืนขู่บังคับผู้เสียหายทั้งสองให้ลงจากรถจักรยานยนต์โดยจำเลยมิได้ห้ามปราม จึงถือได้ว่าจำเลยร่วมกระทำการข่มขืนใจผู้เสียหายทั้งสองให้กระทำการใดไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้เสียหายอันเป็นความผิดต่อเสรีภาพโดยมีอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง แต่เมื่อผู้เสียหายทั้งสองไม่ยอมลงจากรถจักรยานยนต์ตามที่ บ. ข่มขืนใจ จำเลยจึงมีความผิดเพียงขั้นพยายาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 284,309, 318

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284วรรคแรก, 309 วรรคสอง, 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี และจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม, 309 วรรคสอง, 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 318วรรคสาม ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก3 ปี เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวมจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80, 83 จำคุก 1 ปี6 เดือน ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง ขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่นายไพโรจน์ สุทธิ เป็นคนขับเพื่อจะกลับบ้าน จำเลยขับรถจักรยานยนต์มีนายทวีหรือเบิร์ดหรือเนือน หนูสงค์ นั่งซ้อนท้ายตามไป จำเลยบีบแตรให้สัญญาณ 1 ครั้ง นายไพโรจน์หยุดรถ นายเบิร์ดเข้าไปใช้อาวุธปืนบังคับให้ผู้เสียหายทั้งสองลงจากรถ แต่ผู้เสียหายทั้งสองไม่ยอมลง นายเบิร์ดจึงขู่บังคับให้นายไพโรจน์ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวาเข้าไปในป่าสวนยาง ผู้เสียหายทั้งสองกระโดดลงจากรถจักรยานยนต์วิ่งหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่าและกลับบ้านในตอนเกือบรุ่งสาง ตอนเข้าไปแจ้งความแก่เจ้าพนักงานตำรวจ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ สำหรับความผิดฐานร่วมกันพาผู้เสียหายทั้งสองไปเพื่อการอนาจารและฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ดูแลโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรกและมาตรา 318 วรรคแรกนั้น เห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยเป็นเพียงผู้ขับรถจักรยานยนต์ที่นายเบิร์ดนั่งซ้อนท้ายตามรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายทั้งสองนั่งไป เมื่อนายไพโรจน์หยุดรถนายเบิร์ดเป็นผู้เข้าไปข่มขู่ผู้เสียหายทั้งสองกับนายไพโรจน์ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยร่วมข่มขู่บังคับผู้เสียหายทั้งสองแต่ประการใด นอกจากนั้นผู้เสียหายทั้งสองเบิกความรับว่ารู้จักจำเลยมาก่อน อีกทั้งรายละเอียดในชั้นสอบสวน ผู้เสียหายทั้งสองได้ยินจำเลยพูดว่า “ขอหยุดรถปัสสาวะก่อน” ซึ่งตรงกับคำเบิกความของจำเลยผู้เสียหายที่ 1 เบิกความถึงสาเหตุที่ไปแจ้งความเนื่องจากเชื่อว่าคนทั้งสามร่วมกันจะพาผู้เสียหายทั้งสองไปข่มขืนกระทำชำเรา แต่พฤติการณ์แห่งคดียังไม่ปรากฏถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว และเป็นการคาดคะเนของผู้เสียหายทั้งสองเองซึ่งอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ผู้เสียหายทั้งสองสมัครใจยินยอมให้นายไพโรจน์ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่บ้านขณะที่จำเลยขับรถตามไปทัน ผู้เสียหายที่ 1บอกนายไพโรจน์ไม่ต้องหยุดรถ นายไพโรจน์ก็ไม่หยุด นายเบิร์ดบอกให้นายไพโรจน์ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวา นายไพโรจน์ก็ไม่ยอมทำตามจนนายเบิร์ดต้องใช้อาวุธปืนขู่แม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลย นายเบิร์ดกับนายไพโรจน์ร่วมมือกัน แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำอนาจารหรือลวนลามทางเพศต่อผู้เสียหายทั้งสองแต่ประการใด พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานร่วมกันพาผู้เสียหายทั้งสองไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก และฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ดูแลโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม แต่การที่จำเลยเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ให้นายเบิร์ดนั่งซ้อนท้ายไปด้วยกัน และจำเลยจอดรถจักรยานยนต์ให้นายเบิร์ดลงจากรถไปและใช้อาวุธปืนขู่บังคับผู้เสียหายทั้งสองให้ลงจากรถจักรยานยนต์โดยจำเลยมิได้ห้ามปรามจึงถือได้ว่า จำเลยร่วมกระทำการข่มขืนใจผู้เสียหายทั้งสองให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสองอันเป็นความผิดต่อเสรีภาพ โดยมีอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง แต่เมื่อผู้เสียหายทั้งสองไม่ยอมลงจากรถจักรยานยนต์ตามที่นายเบิร์ดข่มขืนใจ จำเลยจึงมีความผิดเพียงขั้นพยายามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share