คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3849/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 243 วรรคสอง เป็นบทบังคับว่าในกรณีมีการทำความเห็นเป็นหนังสือ ผู้ชำนาญการพิเศษจำต้องมาเบิกความประกอบความเห็นเป็นหนังสือนั้นด้วย ไม่ใช่เป็นบทบัญญัติให้ศาลใช้ดุลพินิจให้ผู้ชำนาญการพิเศษทำความเห็นเป็นหนังสือโดยไม่ต้องมาเบิกความประกอบ คดีนี้ ก. ผู้ชำนาญการพิเศษเป็นผู้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อโจทก์ในหนังสือสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติม และได้ทำบันทึกความเห็นไว้ในรายงานการตรวจพิสูจน์ เมื่อโจทก์ไม่นำ ก.มาเบิกความประกอบ บันทึกความเห็นดังกล่าวย่อมรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงคงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้พิมพ์สัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมขณะพิมพ์มีจำเลยที่ 2 กับพวกอยู่ด้วย ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงลายมือชื่อโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมารับฟังประกอบเพื่อให้ได้ความว่าจำเลยทั้งสองมีส่วนร่วมกันปลอมสัญญาดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองย่อมไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปลอมหนังสือสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมซึ่งเป็นเอกสารสิทธิขึ้นทั้งฉบับ แล้วนำไปใช้อ้างแสดงต่อนายทะเบียนสำนักงานหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดมหาสารคามขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูล มีคำสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 83 จำคุกคนละ 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จำเลยทั้งสองฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์อ้างบันทึกความเห็นการตรวจพิสูจน์สัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมตามเอกสารหมาย จ.10 ของพันตำรวจตรีกิจจา สุนทรสผู้ชำนาญการพิเศษของศาลว่าการตรวจพิสูจน์มีการถ่ายภาพลายมือชื่อที่เป็นปัญหากับลายมือชื่อตัวอย่างขึ้นเปรียบเทียบถึงการเขียนลักษณะของตัวอักษร ตลอดจนลายเส้นถูกต้องตามหลักวิชาและมีความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน และแจ้งผลการตรวจพิสูจน์มาว่า ลายมือชื่อโจทก์ในสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.10 เป็นลายมือชื่อปลอม และจำเลยที่ 1 เป็นผู้พิมพ์สัญญาเอกสารหมาย จ.10 ขณะพิมพ์มีจำเลยที่ 2 กับนายบุญธงอยู่ด้วยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงลายมือชื่อโจทก์ในเอกสารหมาย จ.10 พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าพันตำรวจตรีกิจจา สุนทรส ผู้ชำนาญการพิเศษตรวจพิสูจน์สัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.10(ล.8) ต้องมาเบิกความประกอบความเห็นเป็นหนังสือ และต้องส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวให้จำเลยไม่น้อยกว่าสามวันก่อนเบิกความ จึงจะรับฟังได้นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 243 วรรคสอง บัญญัติว่า “ศาลจะให้ผู้ชำนาญการพิเศษทำความเห็นเป็นหนังสือก็ได้ แต่ต้องให้มาเบิกความประกอบหนังสือนั้นให้ส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวแล้วแก่คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวันก่อนวันเบิกความ” อันเป็นบทบัญญัติพิเศษต่างจากมาตรา 240ซึ่งเป็นหลักทั่วไปที่บัญญัติว่า “เมื่อมีเอกสารใช้เป็นพยานหลักฐานในขั้นศาลให้อ่านหรือส่งให้คู่ความตรวจดู…” และที่บทบัญญัติพิเศษดังกล่าวกำหนดบังคับว่าผู้ชำนาญการพิเศษต้องมาเบิกความประกอบความเห็นเป็นหนังสือนั้น ก็ไม่ใช่หมายความว่าให้ศาลใช้ดุลพินิจให้ผู้ชำนาญการพิเศษทำความเห็นเป็นหนังสือโดยไม่ต้องมาเบิกความประกอบ ทั้งนี้ก็เพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายจะได้มีโอกาสซักค้านเพราะความเห็นนั้นอาจเป็นผลร้ายแก่คู่ความฝ่ายนั้นได้ดังเช่นกรณีของจำเลยคดีนี้ ตามสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.10(ล.8) ซึ่งพันตำรวจตรีกิจจา สุนทรส ผู้ชำนาญการพิเศษได้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อโจทก์ในเอกสารหมาย จ.10 (ล.8) และได้ทำบันทึกความเห็น (รายงานการตรวจพิสูจน์) ที่โจทก์อ้างเป็นพยานนั้น เมื่อโจทก์ไม่นำพันตำรวจตรีกิจจามาเบิกความประกอบความเห็นตามบันทึกดังกล่าว บันทึกความเห็นในการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์ในเอกสารหมาย จ.10 (ล.8) ดังกล่าวนั้นย่อมรับฟังไม่ได้ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับฟังบันทึกความเห็นในรายงานการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์ในเอกสารหมาย จ.10 (ล.8) จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 243 วรรคสองคงเหลือข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้พิมพ์สัญญาเอกสารหมาย จ.10 ขณะพิมพ์มีจำเลยที่ 2 และนายบุญธงอยู่ด้วยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงลายมือชื่อโจทก์ในเอกสารหมาย จ.10ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเมื่อไม่อาจนำมาฟังประกอบกับความเห็นในการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์ในสัญญาเอกสารหมาย จ.10ตามที่วินิจฉัยมาแล้วและในสำนวนก็ไม่มีพยานบุคคลหรือพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ที่จะนำมาฟังประกอบกับข้อเท็จจริงที่เหลือดังกล่าวเพื่อให้ได้ความว่าจำเลยทั้งสองได้มีส่วนร่วมกันปลอมสัญญาเอกสารหมาย จ.10จึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองตามข้อเท็จจริงที่เหลือดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share