แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าซื้อรถยนต์มีข้อความว่า ผู้เช่าซื้อสัญญาจะผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน มีกำหนด 2 เดือน ดังนี้ต้องตีความว่าแบ่งชำระเป็น 2 งวด เดือนละ 1 งวดจะตีความว่าชำระงวดเดียวภายใน 2 เดือนหาได้ไม่
การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ กฎหมายมิได้บังคับให้ต้องบอกเลิกเป็นหนังสือและการเช่าซื้อนั้นผู้ให้เช่าซื้อต้องเอาทรัพย์สินออกให้ผู้เช่าซื้อได้ใช้ การที่ผู้ให้เช่าซื้อยึดเอาทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อคืนไป ถือได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว
สัญญาเช่าซื้อที่ว่าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเพียงคราวเดียวหรืองวดเดียว ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาได้นั้น แม้จะแตกต่างกับบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 575 วรรคแรก แต่กฎหมายบทนี้มิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และมิได้เป็นสัญญาที่ขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากจำเลยในราคา 16,000 บาท สัญญาจะผ่อนชำระค่ารถยนต์ให้แก่จำเลยภายในกำหนด 2 เดือน นับแต่วันทำสัญญาและได้ชำระค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญาเป็นเงิน 5,000 บาท ต่อมาจำเลยได้มาทวงถามค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ โจทก์เห็นว่ายังไม่ถึงกำหนดตามสัญญาจึงไม่ให้ จำเลยขอยืมรถไปแล้วไม่คืนให้โจทก์อีก จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวน 5,000 บาทให้แก่โจทก์ ขอให้พิพากษาและบังคับ
จำเลยให้การว่า ตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์จะต้องชำระเงินค่าเช่าซื้อที่เหลือให้แก่จำเลยเป็นรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท ครบกำหนดชำระในงวดที่ 1 แล้วโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อ จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วกับยึดรถยนต์คืนตามสัญญา
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 1 ให้แก่จำเลยแต่จำเลยยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ เพราะโจทก์เพิ่งผิดนัดครั้งแรกเท่านั้น จำเลยไม่มีสิทธิริบเงินที่โจทก์ได้ชำระไปแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 5,000บาทให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าตามสัญญาข้อ 1 โจทก์มีสิทธิชำระค่าเช่าซื้อภายใน 2 เดือน นับแต่วันทำสัญญานั้น เห็นว่าคู่สัญญามีเจตนาให้โจทก์ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อที่ยังเหลืออีก 11,000 บาท เป็นรายเดือนมีกำหนด 2 เดือนนับแต่วันทำสัญญา โดยชำระไม่น้อยกว่าเดือนละ 5,000 บาท เพราะสัญญาข้อนี้มีข้อความว่า”ซึ่งผู้เช่าซื้อสัญญาจะผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้เป็นรายเดือน มีกำหนด 2 เดือน” คำว่ารายเดือนมีกำหนด 2 เดือนนั้น ต้องตีความว่าแบ่งชำระเป็น 2 งวด เดือนละ 1 งวดจะตีความว่าชำระงวดเดียวภายใน 2 เดือนหาได้ไม่ โจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2524 ค่าเช่าซื้อที่เหลืออีก 11,000 บาทซึ่งต้องแบ่งชำระเป็นสองงวดนั้น งวดแรกครบกำหนดชำระในวันที่ 7 กรกฎาคม 2524โจทก์ไม่ชำระภายในกำหนดดังกล่าว โจทก์จึงผิดสัญญาข้อนี้ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องจะต้องบอกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษร จำเลยมิได้บอกเลิกสัญญาดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรจะบังคับตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องข้อ 4 ไม่ได้ นั้น เห็นว่าการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกฎหมายมิได้บังคับให้ต้องบอกเลิกเป็นหนังสือ การเช่าซื้อนั้นผู้ให้เช่าซื้อต้องเอาทรัพย์สินออกให้ผู้เช่าซื้อได้ใช้ การที่จำเลยผู้ให้เช่าซื้อยึดเอารถยนต์ตามฟ้องอันเป็นทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อคืนไป ถือได้ว่าจำเลยได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องแล้ว ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องข้อ 4 เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อยึดรถยนต์ตามฟ้อคืนไปซึ่งถือได้ว่าจำเลยบอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิริบค่าเช่าซื้อ 5,000 บาทที่โจทก์ชำระให้ในวันทำสัญญาได้ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องข้อ 4 ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ที่โจทก์ฎีกาว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่า โจทก์จะต้องชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เมื่อไม่ชำระก็ถือว่าผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องข้อ 4 แล้ว เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 นั้น เห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องข้อ 4 แม้โจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเพียงคราวเดียวหรืองวดเดียวจำเลยก็บอกเลิกสัญญาได้ สัญญาข้อนี้แม้เป็นการผิดแผกแตกต่างกับบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคแรก แต่กฎหมายบทนี้มิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และสัญญาข้อนี้ก็มิได้เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาข้อนี้ จึงใช้บังคับได้ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน