คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีที่ว่าจ้างให้โจทก์เป็นทนายความได้ยื่นคำร้องขอถอนโจทก์จากการเป็นทนายความ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2539 แต่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2539 และยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2540 ซึ่งเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงที่จำเลยได้ถอนโจทก์จากการเป็นทนายความนั้นมีอยู่แล้วขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ดังนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอุทธรณ์โดยอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ แต่เป็นข้อที่โจทก์สามารถยกขึ้นมากล่าวตั้งแต่ในศาลชั้นต้นได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 45,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ให้คืนค่าธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำให้การของจำเลยกล่าวไว้แจ้งชัดว่า จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมต่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่า คดีที่จำเลยว่าจ้างโจทก์ว่าความยังไม่ถึงที่สุด และคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นไม่ได้ทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาท ข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในคำให้การของจำเลยย่อมนำมากำหนดเป็นประเด็นเพื่อนำมาวินิจฉัยคดีได้ การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยไปตามที่จำเลยให้การไว้ ไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนดังที่โจทก์อุทธรณ์ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า เมื่อจำเลยถอนโจทก์จากการเป็นทนายความแล้ว หากศาลชั้นต้นวินิจฉัยต้องด้วยตัวบทกฎหมายต้องถือว่าจำเลยบอกเลิกสัญญาว่าความแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าจ้างตามผลงานที่ทำไปได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยโดยอ้างว่าประเด็นดังกล่าวโจทก์ไม่ได้กล่าวไว้ในฟ้องเพิ่งยกขึ้นมาอ้างในชั้นอุทธรณ์และไม่ใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น ย่อมไม่ชอบ เพราะประเด็นดังกล่าวเพิ่งปรากฎในทางนำสืบของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.3 โจทก์จึงไม่สามารถยกปัญหาข้อนี้ขึ้นในศาลชั้นต้นได้เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้โจทก์กล่าวอ้างขึ้นเป็นประเด็นไว้ในคำฟ้องของโจทก์ได้ โจทก์จึงมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรค 2 นั้น เห็นว่า ตามเอกสารหมาย ล.3 จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีที่ว่าจ้างให้โจทก์เป็นทนายความได้ยื่นคำร้องขอถอนโจทก์จากการเป็นทนายความ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2539 แต่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2539 และยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2540 ซึ่งในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องและคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง จำเลยได้ถอนโจทก์จากการเป็นทนายความและศาลชั้นต้นอนุศาลแล้ว ดังนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอุทธรณ์โดยอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ แต่เป็นข้อที่โจทก์สามารถยกขึ้นมากล่าวตั้งแต่ในศาลชั้นต้นได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน ค่าทำเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share