คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3837-3838/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากบ้านเช่าซึ่งขณะยื่นคำฟ้องมีอัตราค่าเช่าเดือนละ 300 บาท กับเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระอีก 10,800 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้ตกลงขายบ้านพิพาทพร้อมที่ดินให้จำเลย โดยให้จำเลยผ่อนชำระราคา โจทก์ได้ส่งมอบที่ดินและบ้านให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยเป็นเจ้าของ จำเลยได้ผ่อนชำระราคาไปบางส่วนแล้ว ต่อมาจำเลยขัดข้องทางการเงินจึงมิได้ผ่อนชำระ โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญาเช่าไว้โดยตกลงกันว่าเมื่อจำเลยนำเงินอีกจำนวนหนึ่งมาให้โจทก์เมื่อใด โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมด้วยบ้านให้แก่จำเลยทันที สัญญาเช่าจึงเป็นนิติกรรมอำพราง ข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวหาใช่เป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์แต่อย่างใดไม่ เพราะจำเลยยังยอมรับอำนาจกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ ทั้งการที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพรางนั้นก็มิใช่เป็นการยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าดังนั้น คดีจึงห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อเท็จจริงจึงหาชอบไม่ต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้ว

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกและจำเลยสำนวนหลังว่าโจทก์ เรียกโจทก์สำนวนหลังและจำเลยสำนวนแรกว่า จำเลย

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 300 บาท จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า จึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาท กับขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เช่าบ้านพิพาท แต่โจทก์ตกลงขายที่ดินพร้อมด้วยบ้านพิพาทให้จำเลยโดยให้จำเลยผ่อนชำระ โจทก์ได้ส่งมอบที่ดินและบ้านให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยเป็นเจ้าของตลอดมา ต่อมาจำเลยเดือดร้อนทางการเงินจึงมิได้ผ่อนชำระ โจทก์ได้ให้จำเลยทำสัญญาเช่าไว้โดยมิได้มีเจตนาจะผูกพันตามสัญญาเช่า แต่ตกลงกันว่าเมื่อจำเลยชำระเงินอีก 30,000 บาทให้โจทก์เมื่อใด โจทก์จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยทันที ขอให้ยกฟ้อง

สำนวนหลังจำเลยฟ้องโจทก์มีใจความทำนองเดียวกับคำให้การในสำนวนแรก ขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยและรับเงิน 30,000 บาทจากจำเลย

โจทก์ให้การว่า ไม่เคยตกลงขายที่ดินและบ้านให้จำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีสำนวนแรกเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และเรียกค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์อันมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาท ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ตกลงขายที่ดินพร้อมด้วยบ้านให้จำเลยในราคา 60,000 บาท โดยยอมให้จำเลยผ่อนชำระเป็นรายปีโจทก์ได้ส่งมอบที่ดินพร้อมด้วยบ้านให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยในฐานะเจ้าของตลอดมาและจำเลยได้ผ่อนชำระราคาให้โจทก์รวมเป็นเงิน 46,800 บาทต่อมาจำเลยไม่มีเงินชำระจึงตกลงกันว่าเมื่อจำเลยได้รับเงินส่วนแบ่งจากกองมรดกวันใด ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์อีก 30,000 บาท และโจทก์จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมด้วยบ้านให้แก่จำเลยทันทีนั้น จำเลยเพียงแต่อ้างว่า จำเลยมีสิทธิที่จะอยู่ในบ้านรายพิพาทได้ตามสัญญา หาใช่เป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์แต่อย่างใดไม่ เพราะจำเลยยังยอมรับอำนาจกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ ทั้งการที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญาเช่าบ้านรายพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางนั้นก็มิใช่เป็นการยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า ดังนั้น คดีสำนวนแรกจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อเท็จจริงจึงหาชอบไม่ต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในสำนวนแรกซึ่งล้วนแต่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง

ส่วนคดีสำนวนหลังเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์หรือฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษายืนในคดีสำนวนหลัง ส่วนคดีสำนวนแรกให้ยกฎีกาของจำเลย

Share